การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านสุขภาพช่องปากและฟัน สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการ และพฤติกรรมการรับสื่อสุขภาพสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย และ 2) พัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านสุขภาพช่องปากและฟันสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย การดำเนินการวิจัยมี 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาความต้องการ และพฤติกรรมการใช้หรือการรับสื่อสุขภาพสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย โดยการใช้แบบสัมภาษณ์ความต้องการและพฤติกรรมการใช้หรือการรับสื่อของกลุ่มตัวอย่าง และแบบสัมภาษณ์ครูผู้สอนที่รับผิดชอบรายวิชาสุขศึกษา ในการเก็บข้อมูล และระยะที่ 2 ออกแบบและผลิตสื่อต้นแบบ ซึ่งใช้แบบประเมินคุณภาพสื่อโดยผู้เชี่ยวชาญ และประเมินความพึงพอใจของสื่อต้นแบบจากกลุ่มตัวอย่างในการเก็บข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้น ป.4 - ป.6 จำนวน 45 คน ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในเขต อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ชอบรูปแบบการ์ตูน 2 มิติ ที่มีลักษณะเป็นยอดมนุษย์ มีพลัง ชอบทั้งรูปแบบที่เป็นคน สัตว์ และรูปร่าง แบบตัดทอนรายละเอียด ลายเส้นชัดเจน เข้าใจง่าย มีสีสันสดใส ชอบสื่อการ์ตูนแอนิเมชันมากกว่าสื่อหนังสือ ต้องการโปสเตอร์ที่สามารถดูได้พร้อมกันหลายคน มีลูกเล่นเพื่อสร้างความน่าสนใจ เน้นรูปภาพมากกว่าตัวอักษร การ์ตูนแอนิเมชันควรมีประเด็นให้คิด วิเคราะห์ และ 2) สื่อการเรียนรู ้ด้านสุขภาพสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย มีทั้งสิ้น 9 ประเภท คือ หนังสือนิทานแบบปฏิสัมพันธ์ จุลสาร การ์ตูนแอนิเมชัน โปสเตอร์นิทรรศการ แบนเนอร์ สแตนดี้ เข็มกลัด ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality : AR) และ Page Facebook ซึ่งผลการประเมินคุณภาพสื่อจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 10 ท่าน โดยรวมทุกประเภทสื่ออยู่ในเกณฑ์ดีมาก สื่อหนังสือนิทานแบบปฏิสัมพันธ์ ได้ค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ การ์ตูนแอนิเมชัน และอันดับที่ 3 คือ โปสเตอร์นิทรรศการ ส่วนประเภทของสื่อที่กลุ่มตัวอย่าง มีความพึงพอใจมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ 1) โปสเตอร์นิทรรศการ 2) หนังสือนิทานแบบปฏิสัมพันธ์ และ 3) การ์ตูนแอนิเมชัน
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
Bureau of Dental Health. (2007). Guidelines for promoting oral health in early childhood. War Veterans Organization. [in Thai]
Bureau of Dental Health. (2018). Report on the results of the 8th National Oral Health Survey, Thailand 2017. Sam Charoen Phanit (Bangkok). [in Thai]
Bureau of Dental Health. (2024). Report on the results of the 9th National Oral Health Survey, Thailand 2023. Aksorn Graphic and Design. [in Thai]
Chamnian, M., & Kaewsanit, M. (2018). Health Communication to Promote the Well-being for the Community People. APHEIT Journal, 24(2), 155-166. [in Thai]
Chansoda, P. (2017). Graphic Design to Prevent Dental Caries in Early Childhood Campaign for Modern Mother. Burapha Arts Journal, 20(Special), 297-308. [in Thai]
Jatisathien, C., Mismsar, K., & Chaiyakan, A. (2017). Using technological media for early childhood. Plus Press. [in Thai]
Kosapan, P., & Chaiyasing, P. (2021). Developing Interactive Learning Media for Early Childhood Based on Augmented Reality. Journal of Industrial Technology Ubon Ratchathani Rajabhat University, 11(2), 15-26. [in Thai]
Madwungsang, S. (2016). A study of health behavior promotion model of preschool children. [Doctoral Dissertation, Srinakharinwirot University]. [in Thai]
Starfish Academy. (2023). Techniques for creating media for elementary school children. https:// www.starfishlabz.com/blog/1245-ครูคลับ-kru-club-เทคนิคการสร้างสื่อสำหรับเด็กปฐมวัย
Wongwilaisakul, W., & Tiyarattanachai, D. (2018). The Application of Animation for Children. Christian University of Thailand Journal, 24(2), 306-319. [in Thai]
Yachaisri, S., Kayaphat, S., & Saithong, P. (2015). The 2D Animation Model of Discipline Learning for Early Childhood. Sakon Nakhon Graduate Studies Journal, 12(57), 123-130. [in Thai]