วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu <p><strong>วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี</strong> </p> <p>จัดทำโดยคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นวารสารราย 4 เดือน เผยแพร่แบบออนไลน์ ปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม และฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม) เป็นวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย<strong> (TCI) กลุ่มที่ 1 </strong><em>ซึ่งการรับรองคุณภาพวารสารครั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ </em><em>1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567</em> มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสนับสนุนคณาจารย์ นักศึกษา ข้าราชการ นักวิชาการ และนักวิจัยทั่วไป ทั้งภายในและภายนอกสถาบัน ในการนำเสนอผลงานวิชาการทางสาขาศึกษาศาสตร์</p> <p>ผลงานทางวิชาการที่รับพิจารณาตีพิมพ์ ได้แก่ <strong>บทความวิชาการ และบทความวิจัย</strong> ซึ่งต้องเป็นต้นฉบับที่ไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น <strong>อย่างน้อย 2 หรือ 3 ท่าน (ตามความประสงค์ของผู้นิพนธ์)</strong> <strong>โดยการประเมินเป็นแบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้ประเมินและผู้นิพนธ์</strong> (Double - blind peer review) </p> <p>อัตราค่าธรรมเนียมการพิจารณาตีพิมพ์บทความลงวารสาร โดยจะ<strong>เรียกเก็บหลังจากบทความผ่านการพิจารณาเบื้องต้น</strong>จากกองบรรณาธิการแล้ว ดังนี้ 1) บทความภาษาไทย ค่าธรรมเนียมฯ บทความละ 3,500 บาท 2) บทความภาษาอังกฤษ ค่าธรรมเนียมฯ บทความละ 4,000 บาท </p> <p><strong>ISSN Online: 3027-7825</strong></p> th-TH jeeranan.s@psu.ac.th (Assoc. Prof. Dr. Afifi Lateh) tif.jeeranan@gmail.com (Mrs.Jeeranan Songchart (Journal officer)) Mon, 23 Dec 2024 16:05:10 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 แนวทางการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาเชิงรุกเพื่อพัฒนาความเป็นพลเมืองโลกในระดับมัธยมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/264344 <p>การจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาเป็นกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมที่ครอบคลุมสาระต่าง ๆ ได้แก่ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตในสังคม เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจว่ามนุษย์ดำรงชีวิตอย่างไร ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและการอยู่ร่วมกันในสังคม ให้ความสำคัญกับการพัฒนาตนเอง มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นพลเมืองที่ดีของไทยและพลเมืองโลก ซึ่งสิ่งสำคัญของการพัฒนาความเป็นพลเมืองในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคดิจิทัลนั้น ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยีและนำมาผสมผสานกับกระบวนการทำงานหรือการใช้ชีวิต การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) ที่มีความหลากหลายและพิจารณาความเหมาะสมกับเนื้อหาวิชาจึงมีความเหมาะสมต่อการพัฒนาพลเมืองโลก การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน การจัดการเรียนรู้โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน และการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เป็นการจัดการเรียนรู้ที่สามารถเลือกกิจกรรม/สื่อ/วิธีการ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาคุณลักษณะของความเป็นพลเมืองโลก ทั้งพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม เคารพกฎหมาย เคารพสิทธิของผู้อื่น ยอมรับความแตกต่าง มีส่วนร่วมทางการเมืองและมีจิตสาธารณะ </p> อัสหมะ หะยียูโซะ, ศิริขวัญ ชิณศรี Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/264344 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/265590 <p>การบริหารสถานศึกษาในปัจจุบันมีความท้าทายในการบริหารเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีอิทธพลและเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของทุกคนในทุก ๆ ด้าน การศึกษาจึงต้องมีการปรับตัวให้ตอบรับกับอิทธิพลทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงและเจริญก้าวหน้าขึ้นทุกวัน โดยแนวทางในการบริหารสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การกำหนดวิสัยทัศน์และวางเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล 2) การสารวจและวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของสถานศึกษา 3) การเตรียมความพร้อมสถานศึกษาสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล 4) การพัฒนาคุณลักษณะสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล 5) การพัฒนาและปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน 6) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการสถานศึกษา และ 7) การกำกับติดตามและประเมินผล เพื่อให้สถานศึกษาขับเคลื่อนและพัฒนาสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความต้องการของผู้เรียนในยุคดิจิทัล</p> พิชญานันท์ อินทร์รักษ์, มัทนา วังถนอมศักดิ์ Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/265590 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 การประยุกต์ใช้ทฤษฎียูในการจัดการเรียนรู้ รายวิชาการศึกษาเด็กและ การพัฒนาบุคลิกภาพที่มีต่อทักษะการคิดวิจารณญาณของนักศึกษาครู https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/263296 <p>การวิจัยเรื่องน้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้ทฤษฎียู (Theory U) ในการจัดการเรียนรู้รายวิชาการศึกษาเด็กและการพัฒนาบุคลกภาพที่มีต่อทักษะการคิดวจารณญาณของนักศึกษาครู โดยกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการประถมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จานวน 27 คน ใช้การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) โดยตัวแปรต้นที่ศึกษาคือ การประยุกต์ใช้ทฤษฎียูในการจัดการเรียนรู้ และตัวแปรตามที่ศึกษาคือ ทักษะการคิดวิจารณญาณของนักศึกษาครู เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินทักษะการคิดวิจารณญาณ และแบบบันทึกการสะท้อนคิด จานวนครั้งในการเก็บข้อมูล คือ 3 ครั้ง ได้แก่ ก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบกลุ่มเดียววัดซ้ำหลายคร้ง และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการคิดวิจารณญาณของนักศึกษาครูหลังจากใช้ทฤษฎียูในการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนเรียน โดยในแต่ละช่วงเวลาของการเก็บข้อมูลก่อนเรียน (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 10.66) ระหว่างเรียน (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 14.03) และหลังเรียน (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 19.03) มีคะแนนเฉลี่ยทักษะการคิดวิจารณญาณแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> ปาลิดา สายรัตทอง พัฒนพิชัย Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/263296 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/262175 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหาร 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหาร 3) เพื่อประมวลข้อเสนอแนะของการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหาร กลุ่มตัวอย่างคือ ครูผู้สอนในสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 343 คน โดยคำนวณจากการใช้สูตรของยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า จำนวน 40 ข้อ มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่นอยู่ที่ระดับ 0.97 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที (t-test) ทดสอบค่าเอฟ (F-test) และการทดสอบความแตกต่างด้วยวิธีของเชฟเฟ (Scheffe's method)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหาร โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) การเปรียบเทียบการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหาร พบว่า ตัวแปรเพศและระดับการศึกษา ภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน และตัวแปรประสบการณ์การทำงาน ระดับการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหาร ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนตัวแปรขนาดของสถานศึกษาระดับการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหาร ภาพรวมไม่แตกต่างกันยกเว้นด้านการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน และด้านการพัฒนา ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและซอฟต์แวร์ของผู้บริหารแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการประมวลข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2 พบว่า 1) ผู้บริหารควรส่งเสริมให้บุคลากรเข้ารับการอบรมการใช้เทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง 2) ผู้บริหารควรส่งเสริมให้บุคลากรในสถานศึกษาได้ใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอนอย่างสม่ำเสมอ 3) ผู้บริหารควรมีการพัฒนาเครือข่ายอินเทอร์เนตและซอฟต์แวร์ในสถานศึกษาให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 4) ผู้บริหารควรสนับสนุนให้บุคลากรได้นำเทคโนโลยีมาใช้ภายในสถานศึกษาตามความเหมาะสม</p> นิตยา ดำมิตร, จรุณี เก้าเอี้ยน Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/262175 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 Teaching English Writing with Inductive Reasoning: Do EFL Students Need to be Assisted to Learn Inductively? https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/265196 <p> The paper reports on an experiment that was conducted in an EFL context to assess a learning aid called “Induction Helper” in a business correspondence writing course. Two tests were devised to collect data: a writing knowledge test and a writing skill test. Participants were 52 third-year Business English majors. Results indicate a significant difference in the posttest writing-skill scores of the control group (M = 12.00, SD = 1.65) and the experiment group (M = 15.65, SD = 2.17); t (50) = 6.83, p &lt; .01. This signifies that although inductive instructions helped EFL students improve their business writing, the students who used the Induction Helper were able to write significantly better than those who didn’t. There was not a significant difference in the mean scores of the writing-knowledge retention test of the experiment group (M = 16.50, SD = 2.30) and the control group (M = 15.08, SD = 3.20), t (50) = 1.84, p= .072. However, there was a significant difference in the mean scores of the skill retention test of the experiment group (M = 15.40, SD = <br />1.81) and the control group (M = 10.96, SD = 1.48), t (50) = 9.67, p &lt; .01. These results suggest that the Induction Helper helps EFL students improve and retain both their knowledge and writing skill on a long-term basis at a statistically significant level. The study also found that that knowledge and skills are separate concepts and that the possession of knowledge doesn’t necessarily ensure the application of that knowledge in practice.</p> ปิยวรรณ รุ่งวรพงศ์ Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/265196 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 ผลของการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายของนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษาในสถานการณ์โควิด-19 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/263700 <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย ก่อนและหลังจัดการเรียนรู้ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษาที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่เรียนวิชาการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ใช้วิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวนนักศึกษา 50 คน ดำเนินการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ 6 ครั้ง และเรียนเผชิญหน้า 6 ครั้ง ผ่านแผนจัดการเรียนรู้ วิชาการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย จำนวน 12 แผน ดำเนินการทดสอบผลสัมฤทธิ์เปรียบเทียบคะแนนทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างทำแบบประเมินความพึงพอใจการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานหลังเรียนวิชาการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนก่อนและหลัง ด้วยการวิเคราะห์สถิติที (Pair t-test) ที่ระดับความมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่าหลังเรียนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายสูงกว่าก่อนการเรียน และความพึงพอใจโดยรวม การสอนแบบผสมผสานรายวิชาการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายอยู่ในระดับมาก <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.36, S.D.= .27</p> ดิศพล บุปผาชาติ, อรัญญา บุทธิจักร์ Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/263700 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรการส่งเสริมอาชีพในชุมชนผ่านกิจกรรมการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น “การแทงหยวก” สำหรับนักเรียนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/265391 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตร 2) พัฒนาและตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร และ 3) ประเมินผลการใช้หลักสูตร มีวิธีการดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การศึกษา ความต้องการจำเป็น ขั้นที่ 2 การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรฝึกอบรม และขั้นที่ 3 การประเมินผลการใช้หลักสูตรฝึกอบรม กลุ่มตัวอย่างได้แก่ กลุ่มที่ 1 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 315 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่ม แบบหลายขั้นตอน กลุ่มที่ 2 ผู้เชี่ยวชาญและนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 รวมทั้งสิ้น 17 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามความต้องการจำเป็น มีค่าความเชื่อมั่น 0.98 2) หลักสูตร ฝึกอบรม 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความเชื่อมั่น 0.84 4) แบบประเมินทักษะการปฏิบัติ มีดัชนีความสอดคล้อง 1.00 และแบบประเมินความพึงพอใจ มีดัชนีความสอดคล้อง 1.00 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาความต้องการจำเป็นด้านสภาพที่เป็นจริง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.94 ส่วนสภาพที่ควรจะเป็น โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน มีค่าเฉลยเท่ากับ 4.87 2) ผลการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมประกอบด้วย 8 องค์ประกอบ และหลักสูตรฝึกอบรมมีความเหมาะสมและสอดคล้องกันทุกองค์ประกอบ และ 3) ผลการประเมินการใช้หลักสูตรฝึกอบรม พบว่า 3.1) นักเรียนมีความรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3.2) นักเรียนมีทักษะการปฏิบัติกิจกรรมอยู่ในระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 81.70 และ 3.3) นักเรียนมีความพึงพอใจ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.68</p> วัชรภัทร เตชะวัฒนศิริดำรง Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/265391 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 ตัวบ่งชี้ความไวทางวัฒนธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/264071 <p>ความไวทางวัฒนธรรมเป็นองค์ประกอบสำคัญของสมรรถนะทางวัฒนธรรมสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา ทว่ามีช่องว่างการวิจัยให้ศึกษาตัวบ่งชี้ความไวทางวัฒนธรรมในผู้บริหารสถานศึกษา วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อพัฒนาตัวบ่งชี้ความไวทางวัฒนธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา และทดสอบความสอดคล้องของตัวบ่งชี้ที่พัฒนาขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดสงขลา 250 คน ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือวิจัยคือ แบบสอบถาม 15 ข้อที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ตัวบ่งชี้ในแบบสอบถามผ่านการตรวจสอบค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา เท่ากับ 1 และการวัดความเชื่อมั่นของความสอดคล้องภายใน เท่ากับ .93 วิเคราะห์สถิติทดสอบสมมติฐาน ด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน</p> <p>ผลวิจัยพบว่า ตัวบ่งชี้ความไวทางวัฒนธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่พัฒนาขึ้น มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ค่าสถิติผ่านเกณฑ์การวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (χ2/df= 2.69, TLI = .92, CFI = .94, SRMR = .06, RMSEA = .08) จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัยที่ว่า ตัวบ่งชี้ความไว<br />ทางวัฒนธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของตัวบ่งชี้ที่มีค่าตั้งแต่ .30 ถึง .74 ทุกตัวมีค่าเป็นบวก แสดงว่าตัวแปรมีความสัมพันธ์ในทิศทางบวก ค่าน้ำหนักองค์ประกอบของตัวบ่งชี้มีค่า .563 ถึง .731 ถือว่ามีนัยสำคัญทางการปฏิบัติ ค่าความเชื่อมั่นของแต่ละองค์ประกอบเท่ากับ .92 และค่าความแปรปรวนที่สกัดได้เฉลี่ยเท่ากับ .45 ถือเป็นค่าที่มีความเที่ยงตรงเชิงสอดคล้อง เพียงพอและผ่านเกณฑ์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำผลวิจัยไปจัดทำคู่มือสมรรถนะทางวัฒนธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาได้ </p> ฤๅชุตา เทพยากุล Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/264071 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของครูโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/264940 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำดิจิทัลของครูโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ 2) ศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของครูโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ 3) สร้างและพัฒนารูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของครูโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ 4) หาประสิทธิผล ของรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของครูโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ กลุ่มตัวอย่าง ครูในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื่้นฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 366 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ แอลฟาของครอนบัค 0.992 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าความต้องการจำเป็น และผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบภาวะผู้นำดิจิทัลของครูโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ มีดังนี้ 1) การมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล 2) การมีความรู้และการใช้ทักษะดิจิทัล 3) การสื่อสารและแลกเปลี่ยน<br />ความรู้ในโลกดิจิทัล 4) การบูรณาการทักษะดิจิทัล 5) การสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล และ 6) คุณธรรมจริยธรรมในโลกดิจิทัล โดยมีค่าความต้องการจำเป็น 0.24, 0.22, 0.21, 0.22, 0.23 และ 0.23 ตามลำดับ การสร้างรูปแบบการพัฒนา ประกอบด้วย 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) เนื้อหา 4) กระบวนการ 5) สื่อและแหล่งเรียนรู้ และ 6) การวัดและประเมินผลโดยประสิทธิผลของรูปแบบ พบว่า มีค่าดัชนีประสิทธิผลร้อยละ 90.40 ค่าเฉลี่ยผลการประเมินภาวะผู้นำดิจิทัลของครูหลังการพัฒนาเพิ่มขึ้น 1.02 ร้อยละความก้าวหน้า 68.92 และผลจากการสัมภาษณ์ ผู้บังคับบัญชาพบว่า ครูสามารถนำความรู้และทักษะดิจิทัลที่ได้มาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน อีกทั้งต้องการให้มีการต่อยอดและขยายผลอย่างต่อเนื่อง<br /><br /></p> ณัฐพร พรมวัง, วัฒนา สุวรรณไตรย์ , จิณณวัตร ปะโคทัง Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/264940 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/264270 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อศึกษาพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ วัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อศึกษาระดับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการออกกำลังกาย กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาพลศึกษา (กลุ่มวิชาศึกษาทั่วไป) ภาคการศึกษาที่ 2/2565 จำนวน 797 คน เลือกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง สามารถเก็บข้อมูลได้จริง จำนวน 513 คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.78 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) ประกอบด้วย การแจกแจงความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) และค่าเฉลี่ย (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกาย อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 57.70 มีระดับความคิดเห็นด้านทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 50.10 และพฤติกรรมการออกกำลังกาย อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 85.77 สรุปโดยภาพรวมนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์<br />วิทยาเขตหาดใหญ่ มีความรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกายอยู่ในระดับสูง แต่ยังไม่สามารถปฏิบัติกิจกรรมการออกกำลังกายได้อย่างต่อเน่อง ตามหลักการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ดังนั้น มหาวิทยาลัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำผลการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน และออกแบบกิจกรรมการออกกำลังกายที่เหมาะสม เพื่อช่วยกระตุ้นให้นักศึกษาเกิดทัศนคติที่ดีและมีการปฏิบัติกิจกรรมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพในมหาวิทยาลัยให้มากยิ่งขึ้นต่อไป</p> กรฎา มาตยากร, วิษณุ โรจน์สุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/264270 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนานวัตกรรมสื่อการสอนจากแท็บเล็ต (เก่า) ร่วมกับบอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ รายวิชาวิทยาการคำนวณ สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/265493 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานวัตกรรมส่อการสอนจากแท็บเล็ตร่วมกับบอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ เพื่อสอนรายวิชาวิทยาการคำนวณ และศึกษาความพึงพอใจภายหลังการใช้งานกลุ่มเป้าหมายคือ ทีมการศึกษาชั้นเรียน จำนวน 10 คน และนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 22 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กของรัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) นวัตกรรมสื่อการสอน ฯ 2) แบบประเมินคุณภาพ 3) แบบประเมินประสิทธิภาพ และ 4) แบบสอบถาม ความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่า IOC ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และนำเสนอข้อมูลในรูปแบบตาราง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นวัตกรรมสื่อการสอน ฯ จัดเป็นสื่อกึ่งรูปธรรมในรูปแบบ Unplugged Coding ที่รับข้อมูลจากโปรแกรม Arduino IDE บนบอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ ESP8266 และแสดงผลบนหน้าจอแท็บเล็ตเก่าผ่าน โปรแกรม App Inventor ซึ่งสามารถติดตั้งได้ในรูปแบบของไฟล์ APK แบ่งเป็น 2 ด้าน คือ 1. ด้านการส่งผ่านข้อมูล พบว่าบัตรคำส่งจานวน 28 บัตรคำส่ง มีค่าร้อยละความถี่ในการส่งผ่านข้อมูล ร้อยละ 100.00 2. ด้านการใช้งาน สามารถนำไปใช้งานได้จริง ทั้ง 3 กิจกรรม ร้อยละ 100.00 และคุณภาพนวัตกรรมสื่อการสอน ฯ มีค่า IOC มากกว่า 0.67 ทุกข้อ 2) ผลการประเมินระดับความพึงพอใจของทีมการศึกษาชั้นเรียน โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ประกอบด้วย 1. ด้านคุณภาพสำหรับการจัดการเรียนการสอน (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.77, S.D. = 0.54) 2. ด้านการใช้งาน (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.55, S.D. = 0.63) และ 3. ด้านการออกแบบ (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.33, S.D. = 0.54) ตามลำดับ 3) ผลการประเมินระดับ ความพึงพอใจของนักเรียน โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุดประกอบด้วย 1. ด้านคุณภาพสำหรับการจัดการเรียนการสอน (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.70, S.D. = 0.52) 2. ด้านการใช้งาน (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.61, S.D. = 0.61) และ 3. ด้านการออกแบบ (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.50, S.D. = 0.66) ตามลำดับ<br /><br /></p> เทพธิทัต เขียวคำ, ไกรลาส มาตรมูล Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/265493 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนยุคดิจิทัล ในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/265426 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) ขององค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนยุคดิจิทัล และพัฒนาโครงสร้างองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนยุคดิจิทัล ในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยและตรวจสอบความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมวิธี (Mixed Methods) ดำเนินการเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 การศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา โดยการวิเคราะห์และสังเคราะห์เอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่จะนำพาองค์กรให้สามารถแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล ระยะที่ 2 การตรวจสอบ สมมติฐานการวิจัยกับข้อมูลเชิงประจักษ์ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 580 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติและโปรแกรม Amos เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความเที่ยงตรงตามเนื้อหาทั้งฉบับ (S-CVI) เท่ากับ 0.97 โดยวิธีสัมประสิทธ์แอลฟาของ Cronbach เท่ากับ 0.98</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนยุคดิจิทัล ในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย มี 6 องค์ประกอบหลัก 23 องค์ประกอบย่อย 116 ตัวบ่งชี้ จำแนกเป็นการมีวิสัยทัศน์เชิงนวัตกรรม ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบย่อย 18 ตัวบ่งชี้ การมีทักษะการคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบย่อย 13 ตัวบ่งชี้ การทำงานเป็นทีมและการมีส่วนร่วมเชิงนวัตกรรม ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบย่อย 22 ตัวบ่งชี้ การบริหารความเสี่ยง ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบย่อย 17 ตัวบ่งชี้ การสร้างบรรยากาศองค์กรเชิงนวัตกรรม ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบย่อย 22 ตัวบ่งชี้ การมีบุคลิกภาพและแสดงบทบาทหน้าที่เชิงนวัตกรรม ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบย่อย 24 ตัวบ่งชี้ 2) โมเดลโครงสร้างภาวะผู้นาเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา<br />มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าสถิติ ไค-สแควร์ (Chi-square: χ2) เท่ากับ 209.017 ที่ชั้นแห่งความเป็นอิสระ เท่ากับ 179 มีค่าความน่าจะเป็นเข้าใกล้ 1 (p= .062) ไม่มีนัยสาคัญ เมื่อพิจารณาตามเกณฑ์คือ Chi-square/df มีค่าเท่ากับ 1.168 ซึ่งมีค่าต่ำกว่า 2 นอกจากนี้ ยังพบว่าค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืน (GFI) มีค่าเท่ากับ .970 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนที่ปรับแก้แล้ว (AGFI) มีค่าเท่ากับ .954 ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้องเปรียบเทียบ (CFI) มีค่าเท่ากับ .995 และค่าดัชนีเปรียบเทียบตัวแบบที่มีการประมาณเส้นทางระหว่างตัวแปรสังเกตและตัวแปรแฝง (NFI) มีค่าเท่ากับ .966 ค่าดัชนีรากของค่าเฉลี่ยกำลังสองของ การประมาณค่าความคลาดเคลื่อน (RMSEA) เท่ากับ .017 และค่าดัชนีรากของค่าเฉลี่ยกำลังสองของส่วนที่เหลือ (RMR) เท่ากับ .004</p> นิโรจน์ ทองรักจันทร์, นิรันดร์ จุลทรัพย์, จรัส อติวิทยาภรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/265426 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาสื่อบทเรียนออนไลน์ระดับปริญญาตรีวิชาคณิตศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/265837 <p> วัตถุประสงค์ในการวิจัย 1) เพื่อพัฒนาสื่อบทเรียนออนไลน์ระดับปริญญาตรีวิชาคณิตศาสตร์ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนผ่านสื่อบทเรียนออนไลน์ระดับปริญญาตรีวิชาคณิตศาสตร์ก่อนและหลังเรียน 3) เพื่อวัดผลความพึงพอใจของนักศึกษาที่เรียนด้วยสื่อบทเรียนออนไลน์ระดับปริญญาตรีวิชาคณิตศาสตร์ โดยกลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาระดับปริญญาตรีของวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เนื้อหาวิชาแคลคูลัส 1,2 โดยทำเป็นบทเรียนย่อย ๆ มีการบรรยาย เนื้อหา แบบฝึกหัดให้ทำระหว่างเรียน แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน มีอาจารย์ผู้ร่วมพัฒนาบทเรียนออนไลน์นี้จำนวน 10 ท่าน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ค่าประสิทธิ์ภาพจากการพัฒนาสื่อบทเรียนออนไลน์ระดับปริญญาตรีวิชาคณิตศาสตร์ ได้ค่า 82.76/84.98 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนบทเรียนออนไลน์ของสื่อบทเรียนออนไลน์ระดับปริญญาตรีวิชาคณิตศาสตร์ โดยมีค่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ค่าระดับความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนผ่านสื่อบทเรียนออนไลน์ระดับปริญญาตรีวิชาคณิตศาสตร์ ได้ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (X = 4.34, SD. = 0.79) ซึ่งผลวิจัยที่ออกมาเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้และยังได้สอบถามนักศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง พบว่าการจัดอาจารย์ผู้สอนที่มีหลายคนทำให้ทราบเทคนิคการเรียนรู้การทำโจทย์หลากหลาย</p> ตฤณลักษณ์ รุจนิสรกุล, นิพันธ์ ประวัติเจริญวิทย์, เอกบุตร ศิริจำปา, สมภพ ทองปลิว, ศุภกร สุเมธาภิวัฒน์, เนาวรัตน์ มานิตเจริญ, สุธาวาส จันทร์เรือง, ทัตพล ศิริประภารัตน์, ชูเกียรติ ศักดิ์สุรกานต์, ศรีอัมพร เร่บ้านเกาะ Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/265837 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการสื่อสารนวัตกรรมโดยใช้เทคนิคการคิดแบบบูรณาการของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/265875 <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาทักษะการสื่อสารนวัตกรรมโดยใช้เทคนิคการคิดแบบบูรณาการของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เลือกประชากรแบบเจาะจง คือ นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา GEBIN701 Problem Solving and Thinking Process ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จานวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยแผนการสอน จำนวน 8 แผน แบบประเมินทักษะการสื่อสารนวัตกรรม แบบสัมภาษณ์อย่างมีโครงสร้าง และการสนทนากลุ่มย่อย กับกลุ่มเป้าหมายเพื่อสอบถามความคิดเห็นต่อการพัฒนาทักษะการสื่อสารนวัตกรรมโดยใช้เทคนิคการคิดแบบบูรณาการ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาที่ได้รับการพัฒนาทักษะการสื่อสารนวัตกรรมโดยใช้เทคนิคการคิดแบบบูรณาการและได้รับการประเมินทักษะการสื่อสารนวัตกรรมโดยใช้เทคนิคการคิดแบบบูรณาการของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ตามตัวชี้วัด แผนการเรียนเพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารนวัตกรรม<br />โดยใช้เทคนิคการคิดแบบบูรณาการ ประกอบด้วย การประเมินก่อนเรียน โดยใช้เทคนิคการคิดแบบบูรณาการ ประกอบด้วย การประเมินก่อนเรียน กิจกรรม 8 กิจกรรม มีการประเมินตามสภาพจริงในแต่ละกิจกรรม และการประเมินหลังเรียน ปรากฏว่า ดัชนีประสิทธิผลของการพัฒนาทักษะการสื่อสารนวัตกรรมโดยใช้เทคนิคการคิดแบบบูรณาการของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มีค่าเท่ากับ 0.5069 หมายความว่า นักศึกษามีทักษะการสื่อสารนวัตกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 50.69</p> พิศาพิมพ์ จันทร์พรหม, นพรัตน์ เตชะพันธ์รัตนกุล, วิยะดา มีศรี, กฤต พันธุ์ปัญญา Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/265875 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้านเพื่อส่งเสริมการคิดเชิงนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/266177 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับแนวคิดห้องเรียน กลับด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้านที่ส่งผลต่อการคิดเชิงนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง กลุ่มเป้าหมายวิจัยจำนวน 28 คน ปีการศึกษา 1/2565 โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ คู่มือการใช้รูปแบบ แบบประเมินการคิดเชิงนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์ แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกตพฤติกรรม แบบสอบถามปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลโดยค่าสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เท่ากับ 88.10/93.82 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้ 2) ผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้านมีผลต่อการคิดเชิงนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์ ในรายด้าน<br />1. ด้านการกำหนดปัญหา/ประเด็นที่สนใจและความสัมพันธ์กับการคิดเชิงนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับสูง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> =3) 2. ด้านกระบวนการคิดเชิงนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับสูง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 2.76) 3. ด้านการนาเสนออยู่ในระดับสูง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 2.71) 4. ด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อยู่ในระดับสูง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 2.61) และผลการคิดเชิงนวัตกรรม<br />ทางด้านวิทยาศาสตร์ในภาพรวมอยู่ในระดับสูง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> =2.77) </p> จีรวรรณ เกิดร่วม Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/266177 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อบริหารจัดการงานประชุมวิชาการระดับชาติ ศึกษาศาสตร์วิจัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/269256 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการของผู้ใช้ระบบสารสนเทศสำหรับบริหารจัดการงานประชุมวิชาการระดับชาติศึกษาศาสตร์วิจัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 2) พัฒนาและประเมินคุณภาพของระบบสารสนเทศสำหรับบริหารจัดการงานประชุมวิชาการระดับชาติศึกษาศาสตร์วิจัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ<br />3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบสารสนเทศเพื่อบริหารจัดการงานประชุมวิชาการระดับชาติศึกษาศาสตร์วิจัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มเป้าหมายสำหรับการศึกษาความต้องการผู้ใช้ระบบสารสนเทศสำหรับบริหารจัดการงานประชุมวิชาการระดับชาติศึกษาศาสตร์วิจัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่บริหารโครงการ เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ผู้แทนผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ และผู้แทนผู้สมัครนำเสนอบทความ อย่างละ 1 คน และ 2) กลุ่มเป้าหมายสำหรับการศึกษาคุณภาพและประเมินความพึงพอใจต่อระบบสารสนเทศ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความวิจัย (Reviewers) จำนวน 80 คน และผู้สมัครเข้าร่วมการประชุมและผู้ส่งบทความวิจัย (Authors) จำนวน 200 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ใช้ระบบสารสนเทศสำหรับบริหารจัดการงานประชุมวิชาการระดับชาติศึกษาศาสตร์วิจัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มีความต้องการให้พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อช่วยบริหารจัดการการประชุมวิชาการระดับชาติศึกษาศาสตร์วิจัยที่ตอบสนองการใช้งานตามบทบาทของแต่ละกลุ่ม และต้องการให้ระบบประสานข้อมูล และส่งต่อข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) การออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศดังกล่าว ผู้วิจัยได้ดำเนินการออกแบบและพัฒนาโดยใช้ตัวแบบ SDLC : System Development Life Cycle เครื่องมือหลักในการพัฒนาระบบ ได้แก่ ภาษาสำหรับพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน PHP Version 5.5.11 MySQL 5.0.11 Bootstrap 4.0 เครื่องแม่ข่ายใช้<br />Ubuntu 12.04.3 CPU Intel(R) Xeon(R) CPU E3-1240 V2 @ 3.40GHz RAM 8GBHDD 1TB โดยผลการประเมินคุณภาพของระบบสารสนเทศสำหรับบริหารจัดการงานประชุมวิชาการระดับชาติศึกษาศาสตร์วิจัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยผู้เชี่ยวชาญ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (M 4.84, SD .27) และ 3) ความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบต่อระบบสารสนเทศของผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความในภาพรวมทุกด้านในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.65 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .51 และผู้เข้าร่วมการประชุมมีความพึงพอใจต่อระบบสารสนเทศในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.60 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.78</p> บูคอรีย์ แก้วกับทอง, พิภัตน์ เผ่าจินดา Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/269256 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700