วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu <p><strong>วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี</strong> </p> <p>จัดทำโดยคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นวารสารราย 4 เดือน เผยแพร่แบบออนไลน์ ปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม และฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม) เป็นวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย<strong> (TCI) กลุ่มที่ 1 </strong><em>ซึ่งการรับรองคุณภาพวารสารครั้งนี้</em><strong><em>มีผลตั้งแต่วันที่ </em><em>1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572</em></strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสนับสนุนคณาจารย์ นักศึกษา ข้าราชการ นักวิชาการ และนักวิจัยทั่วไป ทั้งภายในและภายนอกสถาบัน ในการนำเสนอผลงานวิชาการทางสาขาศึกษาศาสตร์</p> <p>ผลงานทางวิชาการที่รับพิจารณาตีพิมพ์ ได้แก่ <strong>บทความวิชาการ และบทความวิจัย</strong> ซึ่งต้องเป็นต้นฉบับที่ไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น ทั้งนี้บทความทุกเรื่องที่ได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านการประเมินความถูกต้องทางวิชาการ (Peer reviewed) จากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง<strong>อย่างน้อย 2-3 ท่าน</strong> <strong>โดยการประเมินเป็นแบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้ประเมินและผู้นิพนธ์</strong> <strong>(Double - blind peer review) </strong></p> <p>อัตราค่าธรรมเนียมการพิจารณาตีพิมพ์บทความลงวารสาร โดยจะ<strong>เรียกเก็บหลังจากบทความผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ</strong>แล้ว ดังนี้ 1) บทความภาษาไทย ค่าธรรมเนียมฯ บทความละ 3,500 บาท 2) บทความภาษาอังกฤษ ค่าธรรมเนียมฯ บทความละ 4,000 บาท <em>*ทั้งนี้ ห้ามผู้นิพนธ์ชำระค่าธรรมเนียมฯ เข้ามาก่อนได้รับการแจ้งผลการพิจารณาเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ</em> </p> <p><strong>*หมายเหตุ</strong> วารสารศึกษาศาสตร์ฯ รับพิจารณาเฉพาะบทความที่ส่งเข้ามาพิจารณาตีพิมพ์ในระบบวารสารฯ <strong>https://so02.tci-thaijo.org</strong> นี้เท่านั้น และขอไม่รับพิจารณาบทความที่ส่งมาทางอีเมลหรือช่องทางออนไลน์อื่นใด ๆ ทั้งสิ้น </p> <p><strong>ISSN Online: 3027-7825</strong></p> th-TH jeeranan.s@psu.ac.th (รองศาสตราจารย์ ดร.อาฟีฟี ลาเต๊ะ) tif.jeeranan@gmail.com (นางจีรนันท์ ทรงชาติ (Journal Officer)) Sun, 31 Aug 2025 23:59:44 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การเรียนรู้เชิงรุกโดยใช้ภาพยนตร์เป็นฐานเพื่อประกอบการสอน เรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/272365 <p>การเรียนรู้โดยใช้ภาพยนตร์เป็นฐานเป็นหนึ่งในการเรียนรู้เชิงรุกที่สามารถดึงดูดให้ผู้เรียนสนใจชั้นเรียนได้ดีกว่าการสอนแบบบรรยายปกติ อีกทั้งยังช่วยฝึกฝนทักษะด้านต่าง ๆ เช่น การคิด การอ่าน การเขียน รวมไปถึงการวิเคราะห์ผ่านการอภิปรายร่วมกันในชั้นเรียน ซึ่งการเรียนรู้โดยใช้ภาพยนตร์เป็นฐานจะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความรู้ สร้างการมีส่วนร่วม อีกทั้งผู้เรียนยังได้รับประสบการณ์ทางอารมณ์และเข้าใจชีวิตที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นผ่านการชมภาพยนตร์ ซึ่งการเรียนรู้โดยใช้ภาพยนตร์เป็นฐานสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับผู้เรียนได้ทุกศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นนิสิตนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์รวมไปถึงสาขาสังคมศาสตร์ ในบทความนี้ได้ยกตัวอย่างการใช้ภาพยนตร์เป็นฐานเพื่อประกอบการสอนเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน จำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ The Platform (2019), Parasite (2019) และ Seaspiracy (2021) โดยเป็นตัวอย่างให้ผู้สอนสามารถนำไปอภิปรายร่วมกับผู้เรียนเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการคิด แก้ปัญหา สร้างองค์ความรู้ และทบทวนองค์ความรู้เพื่อนำแนวคิดเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนไปประยุกต์ใช้ด้วยตนเอง</p> เอกภูมิ เจียมวิทยานุกูล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/272365 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 ย่อความเป็นผู้ประกอบการลงแก้วสะตีมบีซีจี ขยายภาพการปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ของผู้เรียน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/272172 <p>การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะตีมบีซีจี เป็นกลไกในการพัฒนาสมรรถนะความเป็นผู้ประกอบการ หากผู้สอนนำบริบทของเทศกาลบูรณาการร่วมกับการจัดการเรียนรู้ดังกล่าว จะเพิ่มโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติทางสะเต็มผ่านการพิจารณามุมมองความต้องการของลูกค้าร่วมกับการพัฒนาชุมชนไปพร้อมกัน ผ่านการจำลองประสบการณ์สืบเสาะเพื่อแก้ปัญหาและย่อประสบการณ์ดำเนินการอย่างผู้ประกอบการสู่ชั้นเรียน บทความวิชาการนี้มุ่งนำเสนอกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะตีมบีซีจีโดยใช้บริบทจากเทศกาลตัวอย่างเป็นฐานคิดในการกำหนดความท้าทายสะตีมบีซีจีให้ผู้เรียน ประกอบด้วยเทศกาลวาเลนไทน์ ฮาโลวีน ลอยกระทง และคริสต์มาส ผ่านตัวอย่างการใช้พิมพ์เขียวการออกแบบบทเรียนสะตีมบีซีจีแบ่งออกเป็น 3 ระยะ โดยระยะที่ 1 คือ การออกแบบปัญหาสะตีมบีซีจีเน้นความเป็นผู้ประกอบการและแนวปฏิบัติสะเต็ม ที่มุ่งวิเคราะห์และสร้างความเชื่อมโยงบริบทเทศกาลสำคัญ แนวคิดบีซีจี แนวคิดความเป็นผู้ประกอบการ เป้าหมายหรือปัญหาสะเต็ม และแนวปฏิบัติทางสะเต็ม ระยะที่ 2 คือ การกำหนดจุดประสงค์เชิงสมรรถนะ ที่มุ่งผสมผสานตัวชี้วัดเป้าหมายร่วมกับแนวปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์แบบสอดแทรกมิติของแต่ละสาขาวิชาหรือมิติของเศรษฐกิจแต่ละด้าน ระยะที่ 3 คือ การติดตามผู้เรียนระหว่างเรียนรู้สะตีมบีซีจีที่ติดตามการปฏิบัติ การใช้ความรู้ และวิธีคิดของผู้เรียน</p> ธาฤชร ประสพลาภ, กรกนก เลิศเดชาภัทร, ชาตรี ฝ่ายคำตา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/272172 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาแบบวัดการปฏิบัติหน้าที่ครูและจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/269783 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแบบวัดการปฏิบัติหน้าที่ครูและจรรยาบรรณวิชาชีพครูสำหรับนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู 2) เพื่อตรวจสอบคุณภาพของแบบวัดการปฏิบัติหน้าที่ครูและจรรยาบรรณวิชาชีพครูสำหรับนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ตัวอย่างที่ใช้คือ นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูชั้นปีที่ 3 และชั้นปีที่ 4 จำนวน 250 คน ผู้วิจัยทำการสุ่มตัวอย่าง โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ คือแบบวัดการปฏิบัติหน้าที่ครูและจรรยาบรรณวิชาชีพครูสำหรับนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และตรวจสอบพารามิเตอร์ของแบบวัด ได้แก่ อำนาจจำแนก (α) ความยาก (β) และสารสนเทศของแบบวัดด้วย Grade Response Model ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบวัดการปฏิบัติหน้าที่ครูและจรรยาบรรณวิชาชีพครูสำหรับนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู มีข้อคำถาม จำนวน 20 ข้อ ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ทุกข้อมีค่าเท่ากับ 0.80 – 1.00 ค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.662 ความตรงเชิงโครงสร้างด้วยวิธีวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน พบว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 2) การตรวจสอบคุณภาพของแบบวัดตามทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบแบบตรวจให้คะแนนมากกว่า 2 ค่า ค่าอำนาจจำแนกรายข้อ (α) อยู่ระหว่าง 0.25 ถึง 2.28 ส่วนค่าความยากง่าย (β) ของแต่ละรายการคำตอบมีค่าเรียงลำดับจากน้อยไปมากทุกข้อ และค่าสารสนเทศของแบบวัดมีความเที่ยงเท่ากับ 0.8544 สำหรับค่าฟังก์ชั่นสารสนเทศของแบบวัด สามารถวิเคราะห์ข้อคำถามได้ดีในช่วง θ ระหว่าง -3.0 ถึง +1.0</p> อานีตา อาแวกือจิ, มัฮดี แวดราแม, สุพรรษา สุวรรณชาตรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/269783 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาด้วยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาและการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน หน่วยว่าวบุหลัน สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ฝ่ายประถมศึกษา) https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/273537 <p>การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาด้วยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาและการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน หน่วยว่าวบุหลัน สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ฝ่ายประถมศึกษา) การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและประเมินคุณภาพของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาและการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน หน่วยว่าวบุหลัน 2) ศึกษาผลการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นอนุบาล 3 ที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาและการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน หน่วยว่าวบุหลัน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาล 3 ที่มีต่อการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาและการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน หน่วยว่าวบุหลัน กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นอนุบาล 3/2 จำนวน 35 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบยกกลุ่มโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาและการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน หน่วยว่าวบุหลัน 2) แบบประเมินทักษะการแก้ปัญหา 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาล 3 ที่มีต่อการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาและการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน หน่วยว่าวบุหลัน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน (t-test dependent)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาและการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน หน่วยว่าวบุหลันมีความสอดคล้องและเหมาะสม 2) นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนชั้นอนุบาล 3 แสดงความพึงพอใจในระดับมาก</p> Tawatchai Sritep , Wimol Chaisen , panuwat Titisirinun, Yuppadee Yoswarissakul, Mawatdah Salaeh ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/273537 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การศึกษารูปแบบการค้นหา คัดกรอง คัดเลือกและการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ การเป็นนักศึกษาครูโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/269820 <p>งานวิจัยนี้เกิดจากการนำร่องการพัฒนานักศึกษาครูสู่ระบบปิดของประเทศโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาภายใต้โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบการค้นหา คัดกรอง และคัดเลือกนักศึกษาทุนโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา 2) เพื่อศึกษารูปแบบกิจกรรมการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าศึกษาของนักศึกษาทุนมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และ 3) เพื่อวิเคราะห์กระบวนการค้นหา คัดกรอง คัดเลือกและการเตรียมความพร้อมก่อนเรียนกับงานแนะแนว ดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การปฏิบัติงานภาคสนาม การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ นักศึกษาที่ผ่านการคัดเลือกเข้าโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น จำนวน 28 คน ผู้ให้ข้อมูลรอง ได้แก่ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 30 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการให้ความหมายและการตีความแบบพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบของกระบวนการค้นหา คัดกรองและคัดเลือกประกอบด้วย 1.1) บทบาทผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการค้นหาคัดกรอง 1.2) ขั้นตอนของกระบวนการค้นหาคัดกรอง 1.3) ประเด็นสำคัญในการค้นหาคัดกรอง 2) รูปแบบกิจกรรมการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าศึกษาประกอบด้วย กระบวนการเข้าค่ายเตรียมก่อนเรียนครูภายใต้ “ค่ายขุดเสมา” ดังนี้ 2.1) สอบความรู้ความสามารถทั่วไป 5 วิชา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และความเป็นครู ผนวกกับประเมินพฤติกรรมการเข้าค่ายด้วยการสังเกต ทำแบบทดสอบความพร้อมทางอาชีพ และแบบทดสอบบุคลิกภาพ เป็นองค์ประกอบในการพิจารณานักเรียนรายบุคคล 2.2) ประชุมผู้ปกครองและการทำสัญญารับทุนการศึกษา 2.3) กิจกรรมสมรรถนะครู 3) รูปแบบของกระบวนการค้นหา คัดกรอง คัดเลือก และการจัดกิจกรรมเตรียมความพร้อมก่อนเรียน พบว่ามีความสัมพันธ์กันกับกระบวนการแนะแนวครบทั้ง 5 บริการ ได้แก่ 1) บริการรวบรวมข้อมูลเป็นรายบุคคล 2) บริการสนเทศ 3) บริการให้คำปรึกษา 4) บริการจัดวางตัวบุคคล และ 5) บริการติดตามผล</p> จันจลี ถนอมลิขิตวงศ์ , พุมพนิต คงแสง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/269820 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาศักยภาพการประเมินผลการเรียนรู้ผู้เรียน ในศตวรรษที่ 21 ของครูผู้สอนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัด https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/268998 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาศักยภาพการประเมินผลการเรียนรู้ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ของครูผู้สอนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดยะลาโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ 2) ศึกษาแนวทางในการพัฒนาศักยภาพการประเมินผลการเรียนรู้ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ของครูผู้สอนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดยะลาโดยกระบวนการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเป็นครูผู้สอนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจำนวน 350 คน และผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 6 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าดัชนีความสำคัญของลำดับความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ครูผู้สอนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดยะลา ต้องการพัฒนาศักยภาพการประเมินผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะในประเด็นการวิเคราะห์หาคุณภาพเครื่องมือประเภทต่างๆ ได้ถูกต้อง การใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และศักยภาพการรายงานการประเมินอิงตามหลักฐานและให้ข้อมูลสรุปเกี่ยวกับการเรียนรู้ของนักเรียน และ 2) แนวทางในการพัฒนาศักยภาพการประเมินผลการเรียนรู้ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ของครูผู้สอน คือ หลักสูตรการเรียนรู้แบบออนไลน์ร่วมกับแบบเผชิญหน้า การให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวกับครูรุ่นเดียวกัน การศึกษาด้วยตนเองผ่านสื่อต่าง ๆ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำผลการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรหรือออกแบบกิจกรรมเพื่อพัฒนาศักยภาพการประเมินผลการเรียนรู้ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 สำหรับครูผู้สอนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม</p> ปราณี หลำเบ็ญสะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/268998 Mon, 01 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษาที่มีต่อทักษะการแก้ปัญหาและเจตคติ ต่อการเรียนวิชาเคมี เรื่อง ปริมาณสัมพันธ์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/273902 <p>รวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษาที่มีต่อทักษะการแก้ปัญหาและเจตคติต่อการเรียนวิชาเคมี เรื่อง ปริมาณสัมพันธ์ ของนักเรียน งานวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้นนี้ใช้การออกแบบการทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิจัยประกอบด้วยนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 28 คน จากโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ระยอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา เรื่องปริมาณสัมพันธ์ จำนวน 3 แผน ซึ่งผ่านการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญและมีความเหมาะสมในระดับมาก (X̄ = 4.43, เต็ม 5) แบบทดสอบวัดทักษะ<br />การแก้ปัญหารายวิชาเคมี เรื่องปริมาณสัมพันธ์ ที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.60-1.00 และแบบวัดเจตคติต่อการเรียนวิชาเคมี ที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.60-1.00 เครื่องมือทั้งหมดผ่านการตรวจสอบคุณภาพและมีความเหมาะสมสำหรับการใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ระยะเวลาในการวิจัย จำนวน 14 คาบเรียน ผลการวิจัยพบว่า 1) หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา นักเรียนมีคะแนนทักษะการแก้ปัญหาเฉลี่ยที่ร้อยละ 70.13 ซึ่งสูงกว่าคะแนนก่อนจัดการเรียนรู้ที่ร้อยละ 40.14 และมีจำนวนนักเรียนที่ได้คะแนนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 ถึง 24 คน โดยมีดัชนีความก้าวหน้าทางการเรียนด้านทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง ปริมาณสัมพันธ์ ในระดับปานกลาง 2) นักเรียนมีเจตคติต่อการเรียนวิชาเคมี เรื่อง ปริมาณสัมพันธ์ หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษาอยู่ในระดับดี</p> ธีรนันท์ ยศปัญญา, เอมอร ศักดิ์แสงวิจิตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/273902 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 กระบวนการบริหารหลักสูตรสถานศึกษาที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/270488 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลของโรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบกรณีศึกษาประเภทกรณีศึกษาเดียวโดยการเลือกแบบเจาะจง คือ โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ หัวหน้าหน่วยหลักสูตร และหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์กลุ่มแบบไม่เป็นทางการ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวรมีกระบวนการบริหารหลักสูตรสถานศึกษาที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ประกอบด้วย 1) การวิเคราะห์หลักสูตร 2) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ซึ่งเป็นหลักสูตรสถานศึกษาที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล หรือ“ห้องเรียนไร้แผนการเรียน” 3) การนำหลักสูตรไปใช้โดยการประชาสัมพันธ์หลักสูตรให้เป็นที่รู้จัก แนะแนวนักเรียนในการเลือกเรียนวิชาเลือกที่สอดคล้องกับความถนัด ความต้องการของตนเอง โดยมีครูที่ปรึกษาครูแนะแนวให้คำปรึกษา ติดตาม ช่วยเหลือนักเรียนตลอดการใช้หลักสูตร 4) การกำกับ ติดตาม ดูแล โดยมหาวิทยาลัยนเรศวร คณะศึกษาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ และโครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน (วมว.) และ 5) การนิเทศ ติดตาม ช่วยเหลือ ด้วยการนิเทศที่หลากหลาย เช่น ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ การเปิดชั้นเรียน การเยี่ยมชั้นเรียน การนิเทศแบบพี่เลี้ยง การนิเทศ<br />แบบประเมินตนเอง</p> สุรพงษ์ กล่ำบุตร, นฤดล จันทรเพ็ชร์, มาเรียม นิลพันธุ์, ชนสิทธิ์ สิทธิ์สูงเนิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/270488 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 ชุดการทดลองวิทยาศาสตร์ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้ากระแสตรงเบื้องต้นสำหรับระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาเทคโนโลยีพลังงานของนักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิชาฟิสิกส์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/269175 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพชุดทดลองวิทยาศาสตร์ เรื่อง การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้ากระแสตรงเบื้องต้นสำหรับระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาเทคโนโลยีพลังงานทั้งก่อนและหลังการใช้ชุดทดลองวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นกับนักศึกษาสาขาวิชาฟิสิกส์ และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชาฟิสิกส์ที่มีต่อชุดทดลองวิทยาศาสตร์ตามกระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ในรายวิชาเทคโนโลยีพลังงานระดับปริญญาตรี กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่ายเป็นนักศึกษาสาขาวิชาฟิสิกส์ชั้นปีที่ 3 จำนวน 15 คน มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง จังหวัดลำปาง เครื่องมือที่ใช้สำหรับการวิจัยประกอบด้วย 1) ชุดทดลองวิทยาศาสตร์ เรื่อง การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้ากระแสตรงเบื้องต้นสำหรับระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ รายวิชาเทคโนโลยีพลังงาน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาสาขาวิชาฟิสิกส์ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชาฟิสิกส์ที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดทดลองวิทยาศาสตร์ตามกระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ที่พัฒนาขึ้น สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละความก้าวหน้าของคะแนน ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบทีแบบไม่อิสระ ผลงานวิจัยพบว่า 1) ผลการประเมินคุณภาพตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่อคุณภาพชุดทดลองวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกันในระดับมากที่สุด และมีประสิทธิภาพ 86.67/82.67 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาสาขาวิชาฟิสิกส์ที่เรียนด้วยชุดทดลองวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นพบว่าคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ และ 3) นักศึกษาสาขาวิชาฟิสิกส์มีความพึงพอใจหลังจากเรียนด้วยชุดทดลองวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมากที่สุด ดังนั้น ชุดทดลองวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นช่วยอธิบายเนื้อหาการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้ากระแสตรงเบื้องต้นสำหรับระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์จากนามธรรมสู่รูปธรรมให้นักศึกษาเข้าใจมากขึ้น อีกทั้งช่วยให้จดจำองค์ความรู้ได้ในระยะยาวและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้</p> วีระ พันอินทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/269175 Mon, 01 Sep 2025 00:00:00 +0700 An Analysis of Thai Rural Students’ Perception and Participation Intention of Working Holidays https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/274708 <p>This study aims to investigate Thai rural students’ perception and intention regarding the working holiday scheme. The study also attempts to discover ways to expand the number of Thai rural students to undertake working holidays programs. Data were collected from 82 students and 3 staff members from a government university located in a rural area of Thailand. Data were collected through an online questionnaire, focus group discussions, and structured interviews. Descriptive statistics was employed for the analysis the quantitative questionnaire data while the framework matrix approach was performed with the qualitative data. Results indicate that the majority of Thai rural students are not well familiar with overseas working holiday; however, they still perceive the potential benefits of this scheme. The findings indicate an incongruence between students’ perceived benefits and participation intention. Finally, this study shows that students from universities located in small cities, rural settings, have different live conditions, life expectations, and life perception.&nbsp; All of these affect their decision and intention to undertake or not undertake the working holidays. Universities play a key role in shaping their students’ perception, expectation, and decision-making.&nbsp; If a rural university aims to optimize the number of students undertaking the working holiday scheme, universities need to provide students with aids and supports in terms of finance and fundings; English communicative skills; and documentation and application.</p> Piyawan Rungwaraphong ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/274708 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลกระทบของการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน ที่มีต่อกลวิธีการเรียนไวยากรณ์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไวยากรณ์ และการรับรู้ของนักศึกษาวิชาเอกภาษาอังกฤษ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/270506 <p>ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว การนำเทคโนโลยีมาใช้ในด้านการศึกษาจึงได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการศึกษาในหลากหลายสาขา องค์ความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนกลวิธีการเรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านไวยากรณ์ในปัจจุบันยังมีไม่มากเท่าที่ควร โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทย งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐานที่มีต่อ 1) การใช้กลยุทธ์การเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และ 3) การรับรู้ของผู้เรียนเกี่ยวกับกิจกรรมการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน งานวิจัยกึ่งทดลองนี้เก็บข้อมูลจากกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยกลุ่มทดลองเป็นนิสิตวิชาเอกภาษาอังกฤษชั้นปีที่ 1 จำนวน 35 คนที่ได้รับการสอนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน ในขณะที่กลุ่มควบคุมประกอบด้วยนิสิตจำนวน 34 คน ได้รับการสอนด้วยวิธีการดั้งเดิมโดยไม่ได้เน้นเรื่องการใช้เทคโนโลยีเป็นสำคัญ และผู้วิจัยไม่ใช่อาจารย์ผู้สอนกลุ่มดังกล่าว เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบวัดกลวิธีการเรียนไวยากรณ์ แบบทดสอบไวยากรณ์ก่อนและหลังเรียน และมีการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพผ่านการสัมภาษณ์กลุ่มกับอาสาสมัครจำนวน 6 คนจากกลุ่มทดลอง ผู้วิจัยใช้สถิติพื้นฐานโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ และการทดสอบ t (t-Test) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม นอกจากนี้ผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์แก่นสาระเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า ชุดกิจกรรมการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐานไม่ได้สร้างความแตกต่างในระดับการใช้กลยุทธ์การเรียนไวยากรณ์ของผู้เรียนทั้งก่อนและหลังเรียน แต่ส่งผลเชิงบวกต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของผู้เรียน นอกจากนี้ผู้เรียนยังมีการรับรู้เชิงบวกและเชิงลบเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีในการเรียนไวยากรณ์ งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเรียนการสอนที่ผสมผสานเทคโนโลยีรูปแบบต่าง ๆ เพื่อพัฒนา และเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด</p> Paweena Jaruteerapan ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/270506 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้บนฐานการเขียนร่วมกันโดยใช้แอปพลิเคชันคลาวด์ เพื่อส่งเสริม ความสามารถในการเขียนรายงานเชิงวิชาการของนักเรียนมัธยมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/269358 <p style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการเขียนรายงานเชิงวิชาการของนักเรียนมัธยมศึกษาก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้บนฐานการเขียนร่วมกันโดยใช้แอปพลิเคชันคลาวด์ ทั้งโดยภาพรวมและจำแนกตามองค์ประกอบ 2) วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงความสามารถในการเขียนรายงานเชิงวิชาการของนักเรียนมัธยมศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ ประชากร คือ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนหญิงล้วนขนาดใหญ่พิเศษในกรุงเทพมหานคร จำนวน 520 คน กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 40 คน ที่ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบวัดความสามารถในการเขียนรายงานเชิงวิชาการ แบบบันทึกความสามารถในการเขียนรายงานเชิงวิชาการรายบุคคล และแผนการจัดการเรียนรู้บนฐานการเขียนร่วมกันโดยใช้แอปพลิเคชันคลาวด์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้วิธีการทางสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการเขียนรายงานเชิงวิชาการหลังได้รับการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้ ทั้งโดยภาพรวมและจำแนกตามองค์ประกอบ ได้แก่ การศึกษาค้นคว้า การเรียบเรียงเนื้อหา การใช้ภาษา การจัดรูปแบบ และการอ้างอิง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนมีการเปลี่ยนแปลงความสามารถในการเขียนรายงานเชิงวิชาการระยะหลังดีขึ้นกว่าระยะแรกทุกองค์ประกอบ</p> ศุภณัฐ เดชรักษา, วิภาวรรณ วงษ์สุวรรณ์ คงเผ่า, สร้อยสน สกลรักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/269358 Mon, 01 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการระดมทรัพยากรทางการศึกษาเพื่อช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนปากน้ำปราณวิทยา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/275585 <p>This research purpose is to study 1) the needs of the parents of students at Paknam pranwittaya School, PrachuapKhiriKhan, and 2) the guidelines for mobilizing educational resources to help students at Paknampranwittaya School. The sample group used in the research was 280 parents of students at Paknampranwitthaya School using a simple random sampling method, 156 questionnaires were returned for 96.29 percent. The interviewees included parents, administrators, teachers, school committee members, and 12 alumni. The research instruments were questionnaires and interview forms. Data were analyzed by frequency, percentage, average, standard deviation, and content analysis.</p> <p>The research results found that 1) the needs of the parents of students at Paknampran witthaya School, PrachuapKhiriKhan, overall and in each aspect, were high. Regarding non-monetary needs, they wanted safety in the school, clean and sufficient restrooms, and access to higher education. In terms of monetary needs, they wanted financial with&nbsp;student loan&nbsp;funds, learning equipment, and tuition fees. 2) Guidelines for mobilizing Educational resources include: 1) organizing a meeting of stakeholders to plan and prepare; 2) appointing orders, working groups, and assigning operations according to responsibilities; 3) coordinating with external agencies to participate in mobilizing educational resources; 4) raising funds from alumni; 5) announcing recognition of supporters; 6) reporting the results of mobilizing educational resources.</p> <p><strong>Keywords:</strong> mobilizing educational resources, Paknampranwitthaya School.</p> <p>&nbsp;</p> อุมาภรณ์ ใคร่ครวญ, ศ.น.ท.ดร.สุมิตร สุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/275585 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาแบบสอบอัตนัยประยุกต์สำหรับวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางชีววิทยา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบแบบพหุวิภาค https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/270813 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างแบบสอบอัตนัยประยุกต์สำหรับวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางชีววิทยา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2) ตรวจสอบคุณภาพโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบแบบพหุวิภาค และ 3) พัฒนาเกณฑ์ปกติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จำนวน 540 คน โดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบอัตนัยประยุกต์สำหรับวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางชีววิทยา มี 4 สถานการณ์ จำนวน 20 ข้อ ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับผลการเรียนรู้ (IOC) มีค่าตั้งแต่ 0.80 ถึง 1.00 มีค่าความยากง่ายตั้งแต่ 0.37 ถึง 0.70 มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20 ถึง 0.47 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.83 ผลการวิเคราะห์ค่าพารามิเตอร์ความชัน (αi) ของแบบสอบทั้ง 5 ขั้นตอนตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ พบว่า มีค่าตั้งแต่ 0.42 ถึง 1.79 ค่าพารามิเตอร์ระดับขั้นความยากของการตอบ (δij) มีค่าตั้งแต่ -1.12 ถึง 30.14 และแบบสอบให้ค่าสารสนเทศของแบบทดสอบ (Test information) สูงสุดเมื่อผู้ตอบมีระดับความสามารถปานกลาง เกณฑ์ปกติของความสามารถในการแก้ปัญหาทางชีววิทยาภาพรวม มีคะแนนเปอร์เซ็นไทล์ ตั้งแต่ 3.80 ถึง 96.10 และคะแนนทีปกติตั้งแต่ T15 ถึง T69</p> ฟิรดาวส์ ปิยานนท์พงศ์, ณรงค์ศักดิ์ รอบคอบ, จิระวัฒน์ ตันสกุล, ธีระยุทธ รัชชะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/270813 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน เรื่อง สารละลายที่มีต่อความสามารถ ในการสร้างแบบจําลองทางวิทยาศาสตร์ และความสามารถในการสร้าง คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พัทลุง https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/269518 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการสร้างแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์และความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานระหว่างก่อนและหลังเรียน และเปรียบเทียบกับนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบปกติ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พัทลุง จำนวน 70 คน 2 ห้องเรียน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่มเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน 2) แผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ 3) แบบวัดความสามารถในการสร้างแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ และ 4) แบบวัดความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยปรากฏว่า นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานมีความสามารถในการสร้างแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ และความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> จิรยุทธ ขุนอักษร, นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์, ดวงเดือน สุวรรณจินดา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/269518 Mon, 01 Sep 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์ความรู้สึกที่มีต่อการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู และจำแนกประเด็น ที่เกี่ยวกับการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มรัตนโกสินทร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/269601 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความรู้สึกที่มีต่อการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูและจำแนกประเด็นที่เกี่ยวกับการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู โดยใช้เทคนิคการจำแนกความรู้สึกผ่านการเรียนรู้ของเครื่องด้วยการเรียนรู้แบบมีการชี้แนะ กระบวนการวิจัยประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การเก็บรวบรวมข้อมูลและเตรียมข้อมูล การประมวลผลข้อมูล การพัฒนาโมเดล และการประเมินผลโมเดล โดยรวบรวมข้อมูลกับนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ปีการศึกษา 2566 มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มรัตนโกสินทร์ จำนวน 466 คน ผ่านทาง Google Form หลังจากตัดข้อความให้มีใจความเดียวและสุ่มแบ่ง ได้ข้อมูลชุดฝึกฝน จำนวน 784 ข้อความ (ร้อยละ 80) และข้อมูลชุดทดสอบ จำนวน 196 ข้อความ (ร้อยละ 20) ในการพัฒนาโมเดลใช้การเรียนรู้แบบมีการชี้แนะในการพัฒนาโมเดลวิเคราะห์ความรู้สึกและโมเดลวิเคราะห์ประเด็นที่เกี่ยวกับการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ผลการประเมินโมเดล พบว่า มีค่าความถูกต้องสูงทั้งโมเดลวิเคราะห์ความรู้สึก (.94) และโมเดลวิเคราะห์ประเด็นที่เกี่ยวกับการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู (.88) แสดงถึงความสามารถในการทำนายที่มีประสิทธิภาพ จากข้อความที่วิเคราะห์ จำนวน 196 ข้อความ การวิเคราะห์ความรู้สึกแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกเชิงบวก จำนวน 110 ข้อความ (ร้อยละ 56.35) และความรู้สึกเชิงลบ จำนวน 86 ข้อความ (ร้อยละ 43.65) หลังจากจำแนกประเด็นข้อความพบการระบุประเด็นที่แตกต่างกัน 9 ประเด็น ส่วนใหญ่เป็นประเด็นเกี่ยวกับงานสอน จำนวน 97 ข้อความ (ร้อยละ 49.49) รองลงมาคือประเด็นเกี่ยวกับนักเรียน จำนวน 35 ข้อความ (ร้อยละ 17.86) และน้อยสุดคือประเด็นเกี่ยวกับโรงเรียน จำนวน 1 ข้อความ (ร้อยละ 0.51) ผลการศึกษาสามารถนำไปใช้ในการเตรียมความพร้อมให้กับนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูในประเด็นต่าง ๆ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับนักเรียนซึ่งเป็นประเด็นที่มีความรู้สึกเชิงลบมากที่สุดเพื่อให้การฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ</p> สุธิดา ชาญวารินทร์, ชยุตม์ ภิรมย์สมบัติ, ดวงกมล ไตรวิจิตรคุณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edupsu/article/view/269601 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700