ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุกร่วมกับการวินิจฉัยจุดบกพร่องในการเรียน ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

Main Article Content

ธเกียรติกมล ทองงอก
โชติกา ภาษีผล

บทคัดย่อ

การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุกร่วมกับการวินิจฉัยจุดบกพร่องในการเรียน ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80  2)เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน 4) เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุกร่วมกับการวินิจฉัยจุดบกพร่องในการเรียน และ 5) เพื่อศึกษาแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนคณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนเทศบาลวารินวิชาชาติ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 34 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม มีแบบแผนการทดลองขั้นต้นศึกษากลุ่มเดียววัดสองครั้ง มีกลุ่มทดลอง 1 กลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย (1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุกร่วมกับการวินิจฉัยจุดบกพร่องในการเรียน มีค่าประสิทธิภาพจากการทดสอบภาคสนาม (1:100) เป็น81.63/81.77 (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ค่า IOC ระหว่าง 0.80-1.00 ค่าความยาก 0.21–0.79 ค่าอำนาจจำแนก 0.20–0.87 ค่าความเที่ยงเป็น 0.82 (3) แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ค่า IOC มีค่า 1.00 ทุกข้อ ค่าความยาก 0.59–0.63 ค่าอำนาจจำแนก 0.43–0.55 ค่าความเที่ยงเป็น 0.96 (4) แบบทดสอบวินิจฉัยจุดบกพร่องในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ จำนวน 7 ฉบับ ภาพรวมทุกฉบับ  มีค่า IOC เป็น 1.00 ทุกข้อ ค่าความยาก ระหว่าง 0.23–0.78 ค่าอำนาจจำแนก 0.21–0.84 ค่าความเที่ยงทั้ง  7 ฉบับ ระหว่าง 0.77-0.85 (5) แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ค่า IOC เป็น 1.00 ทุกข้อ (6) แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงาน ค่า IOC เป็น 1.00 ทุกข้อ (7) แบบฝึกหัดรายแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ค่า IOC เป็น 1.00 ทุกข้อ ค่าความยาก 0.53–0.75 ค่าอำนาจจำแนก 0.31–0.69 ค่าความเที่ยงเป็น 0.91 (8) แบบทดสอบหลังเรียนท้ายแผน จำนวน 7 ฉบับ ภาพรวมทุกฉบับมีค่า IOC ระหว่าง 0.80-1.00 ค่าความยาก ระหว่าง 0.21–0.80 ค่าอำนาจจำแนก 0.20–0.94 ค่าความเที่ยงทั้ง 7 ฉบับ ระหว่าง 0.79-0.88 (9) แบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ค่า IOC เป็น 1.00 ทุกข้อ ค่าอำนาจจำแนก 0.21–0.91 ค่าความเที่ยงเป็น 0.98 สถิติพื้นฐาน คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยสถิติทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัย ปรากฏผลดังนี้


1. ประสิทธิภาพแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุกร่วมกับการวินิจฉัยจุดบกพร่อง ในการเรียน ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 E1/E2 มีค่าเป็น 81.88/82.35


2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน


3. ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน


4. ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุกร่วมกับการวินิจฉัยจุดบกพร่องในการเรียน มีค่า 0.5823 แสดงว่าเมื่อนักเรียนที่เรียนรู้ตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แล้วมีความรู้เพิ่มขึ้น 0.5823 หรือ คิดเป็นร้อยละ 58.23


5. ระดับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาพรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ระดับมาก โดยสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ด้านความกระตือรือร้น ด้านความกล้าเสี่ยง และ ด้านความทะเยอทะยาน ส่วนด้านที่มีระดับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนคณิตศาสตร์เป็นอันดับสุดท้าย คือ ด้านการรู้จักการวางแผน

Article Details

ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงศึกษาธิการ. (2553). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ.

กิตติพันธ์ วิบุลย์ศิลป์. (2560). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ตามแนวคิดห้องเรียน กลับด้าน ร่วมกับการเรียนรู้ เชิงรุกที่มีผลต่อความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ และความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5. (สาขาวิชาการศึกษาคณิตศาสตร์ภาคหลักสูตรและการสอน). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เกษมสันต์ อินพรม. (2549). การวิเคราะห์สหสัมพันธ์คาโนนิคอลระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. สาขาวิชาการวิจัยและสถิติทางการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

ขวัญใจ สายสุวรรณ. (2554). การสร้างแบบทดสอบวินิจฉัยจุดบกพร่องในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิจัยและประเมินผลการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.

คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, สำนักงาน. (2562). แนวทางการนิเทศเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (Active Learning) ตามนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.

ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2556). การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน. ศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย. 5(1), 7-20.

ชัยยงค์ พรหมวงศ์ และคณะ. (2521). ระบบสื่อการสอน. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ธนวรรณ นัยเนตร. (2560). ผลของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับคำถามระดับสูงที่มีต่อความสามารถ ในการให้เหตุผลและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง ฟังก์ชันของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา.

บุญชม ศรีสะอาด. (2523, พฤษภาคม-สิงหาคม). “แบบทดสอบวินิจฉัย,” การวัดผลการศึกษา. 2, 1 : 9-24.

ไพฑูรย์ สินลารัตน์ และคณะ. (2557). คิดนอกกรอบ : สอนและสร้างได้อย่างไร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

โรงเรียนเทศบาลวารินวิชาชาติ. (2561). รายงานการประเมินตนเอง (SAR) ปีการศึกษา 2560.

วัชรา เล่าเรียนดี. (2548). เทคนิคและยุทธวิธีพัฒนาทักษะการคิด การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ. นครปฐม: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.

วิจิตรา ทองงอก. (2545). การสร้างแบบทดสอบวินิจฉัยจุดบกพร่องในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการและอสมการตัวแปรเดียว สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในเขต กรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. สาขาวิชาการวัดผลการศึกษามหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ.

ศิริเดช สุชีวะ. (2550). “การวิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งของผู้เรียน” ใน หนังสือชุดปฏิรูปการศึกษา การประเมินผลการเรียนรู้แนวใหม่. หน้า 154-176. สุวิมล ว่องวานิช, บรรณาธิการพิมพ์ ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2555). ทักษะและกระบวนการทาง คณิตศาสตร์. กรุงเทพฯ: 3-คิว มีเดีย.

สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ. (2561). [ออนไลน์]. ได้จาก https://www.niets.or.th/th/ [สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2561].

สุวารี คงมั่น. (2545). การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน โดยการสอนแบบแก้ปัญหาในกลุ่มการงานพื้นฐานอาชีพ แขนงงานบ้าน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

Gagne, R. M. (1970). The Condition of Learning. New York : Holt, Rinchart and Winston.

Johnson, D. W.; et al. (1991). Active Learning: Cooperation in the College Classroom. Edina, Mn: Interraction Book Company.

Krulik, S. and J. A. Rudnick. (1993). Reasoning and Problem solving: A Handbook for Elementary School Teacher. Boston: Allyn and Bacon

McClelland, D.C. (1961, May). “Toward a Theory of Motive Acquisition,” American Psychologist. 20, 5: 321-333(b).

Polya. (1957). How to Solve It. 3rd ed. Garden City, New York: Doubleday.