ผลของการปรึกษากลุ่มทฤษฎีอัตถิภวนิยมร่วมกับดนตรีต่อความสอดคล้องในการมองโลก ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เปรียบเทียบความสอดคล้องในการมองโลกของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม ในระยะหลังการทดลองและติดตามผล 2) เปรียบเทียบความสอดคล้องในการมองโลกของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ในกลุ่มทดลอง ในระยะก่อนการทดลอง หลังการทดลองและติดตามผล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย อายุระหว่าง 18-22 ปี และสมัครใจเข้าร่วมการทดลอง จำนวน 14 คน โดยการทำแบบวัดความสอดคล้องในการมองโลก ที่พัฒนาโดยสมพร สุทัศนีย์ (2545) นำคะแนนที่ได้จากแบบวัดในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำลงไป เรียงลำดับจากต่ำสุดขึ้นไป แล้วใช้วิธีการจับคู่ เพื่อแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 7 คน กลุ่มทดลองได้รับการปรึกษากลุ่มทฤษฎีอัตถิภวนิยมร่วมกับดนตรี จำนวน 12 ครั้ง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 60-90 นาที เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบวัดความสอดคล้องในการมองโลก เป็นแบบวัดชนิดมาตราส่วนประเมินค่า 7 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50-1.00 ค่าความเชื่อมั่น 0.97 และโปรแกรมการปรึกษากลุ่มทฤษฎีอัตถิภวนิยมร่วมกับดนตรี สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ ประเภทหนึ่งตัวแปรระหว่างกลุ่มและหนึ่งตัวแปรภายในกลุ่ม และวิธีการทดสอบรายคู่โดยวิธีของบอนเฟอโรนี กำหนดความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสอดคล้องในการมองโลกของกลุ่มทดลองในระยะหลังการทดลอง ( = 244.86, S.D. = 21.49) และระยะติดตามผล (
= 243.43, S.D. = 26.28) สูงกว่ากลุ่มควบคุมในระยะหลังการทดลอง (
= 199.29, S.D. = 13.05) และระยะติดตามผล (
= 207.57, S.D. = 6.48) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ความสอดคล้องในการมองโลกของกลุ่มทดลอง ในระยะหลังการทดลอง (
= 244.86, S.D. = 21.49) และระยะติดตามผล (
= 243.43, S.D. = 26.28) สูงกว่าระยะก่อนการทดลอง (
= 199.57, S.D. = 11.84) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
Article Details
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่งไปเผยแพร่ต่อหรือกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก่อนเท่านั้น
เอกสารอ้างอิง
กรมสุขภาพจิต. (2562). ตีแผ่ปัญหาโรคซึมเศร้าในวัยรุ่น. [ออนไลน์]. ได้จาก https://dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=29585 [สืบค้นเมื่อ วันที่ 15 มีนาคม 2562].
กระทรวงสาธารณสุข. (2559). องค์ความรู้การดำเนินงานดูแลสุขภาพวัยรุ่นแบบบูรณาการสำหรับทีมนักจัดการสุขภาพวัยรุ่น (Teen Manager). นนทบุรี: บียอนด์.
กันยา สุวรรณแสง. (2554). จิตวิทยาทั่วไป (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ: รวมสาส์น.
ณัชชา ตั้งตรงหฤทัย. (2559). การศึกษาบทบาทของเพลงร็อคในการปลูกฝังคุณค่าและการสร้างกำลังใจในการดำเนินชีวิตของเยาวชน. วารสารการสื่อสารและการจัดการนิด้า, 2(2), 33-34.
ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา. (2560). ดนตรีบําบัดพัฒนาชีวิต. [ออนไลน์]. ได้จาก https://www.happyhomeclinic.com [สืบค้นเมื่อ วันที่ 20 มิถุนายน 2561].
บุญชม ศรีสะอาด. (2556). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2554). การปรึกษาเชิงจิตวิทยา. นนทบุรี: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
วัชรี ทรัพย์มี. (2556). ทฤษฎีให้บริการปรึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วัลลภา เทพหัสดิน ณ อยุธยา. (2556). อาจารย์ที่ปรึกษากัลยาณมิตร. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.
ศรีเรือน แก้วกังวาล. (2554). ทฤษฎีจิตวิทยาบุคลิกภาพ รู้เรา รู้เขา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน.
สมพร สุทัศนีย์. (2545). การพัฒนาแบบทดสอบความสอดคล้องในการมองโลก สำหรับวัยรุ่นในจังหวัดชลบุรี. ภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา, คณะศึกษาศาสตร์, มหาวิทยาลัยบูรพา.
Antonovsky. (1996). The salutogenic model as a theory to guide health promotion. Health Promotion International. 11(1), 11–18. Doi: 10.1093/heapro/11.1.11
Binkley, E. E. & Parmanand, S.P. (2010). Members’ experience of using music in a small group setting: A phenomenological study. Retrieved from: https://www.counseling.org/resources/library/VISTAS/2010-V-Online/Article_57.pdf
Chu, J.J., Khan, M.H., Jahn, H.J. & Kraemer, A. (2016). Sense of coherence and associated factors among university students in China: cross-sectional evidence. BMC Public Health, 16, 336. doi: 10.1186/s12889-016-3003-3
Correy, G. (2012). Theory and Practice of Group Counseling (8th ed.). United States of America: Brooks.
Gladding, S. T. (1992). Counseling as an Art: The creative arts in counseling. Alexandria, VA: American Association for Counseling and Development. Retrieved from https://eric.ed.gov/?id=ED340984
Gladding, S. T., Newsome, D., Binkley, E., & Henderson, D. (2008). The lyrics of hurting and healing: Finding words that are revealing. Journal of Creativity in Mental Health, 3(3), 212-219. doi: 10.1080/15401380802385210
Howell, D.C. (2010). Statistic methods for psychology. 7th ed. Belmont, CA: Wadsworth.
Lane, T. M. (2017). Integrating music activities into a school counselor's grief group with youth. Masters of Education, Counseling, University of Alaska Fairbanks.
Mittelmark, M.B., Sagy S., Eriksson, M., Bauer, G.F., Pelikan, J.M., Lindstrom, B., …Espnes, G.A. (Eds.). (2017). The handbook of Salutogenesis. Retrieved from:https://link.springer.com/content/pdf/10.1007%2F978-3-319-04600-6.pdf
Moksnes, U. k., Espnes, G. A. & Haugan, G. (2013). Stress, sense of coherence, and emotional symptoms in adolescents. Psychology & Health. DOI: 0.1080/08870446.2013.822868
Moreno, J. J. (1995). Ethnomusic therapy: An interdisiplinary approach to music and healing. The Arts in Psychology, 22(4), 329-338.
Rice, V. H. (2012). Handbook of stress, coping, and health: implications for nursing research, theory, and practice. 2nd ed. Thousand Oaks: SAGE Publications.
Situmorang, D. D. B. (2018). How amazing music therapy in counseling for millennials. Couns-Edu: International Journal of Counseling and Education, 3(2), 73-80. DOI: 10.23916/0020180313220
Winer, B.J., Brown, D.R., & Michels. K.M. (1991). Statistical principles in experimental design.3rd ed. New York: McGraw-Hill.