การวิเคราะห์ตัวแปรจำแนกประเภทนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สูงกับต่ำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต 3

Main Article Content

สุพรรษา ใจเมือง
นุชวนา เหลืองอังกูร
สุวิมล โพธิ์กลิ่น

บทคัดย่อ

วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เนื่องจากวิชาคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐาน
ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีอุตสาหกรรม ตลอดจนเป็นพื้นฐานสำาหรับการศึกษาค้นคว้าวิจัยทุกประเภท
แต่ปัญหาการศึกษาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คือ ผลการทดสอบวิชาคณิตศาสตร์ จากการประเมินผลคุณภาพ
การศึกษาระดับชาติ ต่ำกว่าเกณฑ์ที่คาดหวัง ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดในการศึกษาว่ามีปัจจัยใดที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยจำแนกประเภทนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์สูงกับต่ำและวิเคราะห์จำาแนกประเภทปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์สูงกับต่ำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน
การวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ประจำภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2552 จำนวน 400 คน กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratifed Random Sampling)
และจำแนกกลุ่มนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์สูงกับต่ำโดยนำาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นไปวัดกับนักเรียนที่สุ่มมา กลุ่มนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
วิชาคณิตศาสตร์สูง หมายถึง นักเรียนที่ได้คะแนนตั้งแต่ตำแหน่งเปอร์เซนไทล์ 75 (P75) ขึ้นไป จำานวน 201 คน
และกลุ่มนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ต่ำ หมายถึง นักเรียนที่ได้คะแนนตั้งแต่ต่ำแหน่ง
เปอร์เซนไทล์ 25 (P25) ลงไป จำนวน 199 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด ดังนี้ 1) แบบทดสอบมี 2 ฉบับ
คือ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 35 ข้อ มีค่าความยาก
(p) ตั้งแต่ .44 ถึง .73 ค่าอำนาจจำแนก (r) ตั้งแต่ .21 ถึง .72 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ .91 และแบบทดสอบวัด
ความถนัดทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ จำนวน 36 ข้อ มีค่าความยาก (p) ตั้งแต่ .44 ถึง .74 ค่าอำนาจจำแนก
(r) ตั้งแต่ .21 ถึง .63 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ .82 2) แบบวัด คือ แบบวัดเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ จำนวน
15 ข้อ ค่าอำนาจจำแนก (rxy) ตั้งแต่ .27 ถึง .68 มีนัยสำคัญที่ระดับ .01 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ
.77 3) แบบสอบถาม 1 ฉบับแยกเป็น 5 ด้าน คือ ความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว การสนับสนุนการเรียน
ของผู้ปกครอง พฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ พฤติกรรมการสอนวิชาคณิตศาสตร์และบรรยากาศใน
ชั้นเรียนด้านละ 10 ข้อ รวมทั้งหมด 50 ข้อ ค่าอำนาจจำแนก (rxy) ตั้งแต่ .29 ถึง .68 อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ
.01 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .76 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ตำแหน่งเปอร์เซนไทล์
คะแนนเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S) วิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยโดย t–test (Independent)
และการวิเคราะห์จำแนกประเภท (Discriminant Analysis) แบบขั้นตอน (Stepwise Method) โดยวิธีวิลค์
แลมบ์ดา (Wilks’ Lambda)


ผลการวิจัยปรากฏ ดังนี้
1. ตัวแปรจำแนกที่มีความสัมพันธ์ทางบวกสูงสุด โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ได้แก่ พฤติกรรม
การสอนของวิชาคณิตศาสตร์กับบรรยากาศในชั้นเรียน มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .572
2. กลุ่มนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกับต่ำ มีความถนัดทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (IQ)
เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ (ATT) และบรรยากาศในชั้นเรียน (CLR) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01
3. ตัวแปรที่สามารถจำแนกกลุ่มนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ระหว่างกลุ่มที่
มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกับต่ำามี 2 ตัวแปร ได้แก่ ความถนัดทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (IQ) และเจตคติ
ต่อวิชาคณิตศาสตร์ (ATT) ตัวแปรทั้ง 2 ตัวแปรนี้มีส่วนในการจำแนกประเภทนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนวิชาคณิตศาสตร์สูงกับต่ำได้ถูกต้องร้อยละ 89.3 อย่างมีนัยสำาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีสมการจำแนก
ประเภทดังนี้
สมการจำแนกกลุ่มในรูปคะแนนดิบ
Y/ = -6.265 + .205 (IQ) + .057 (ATT)
สมการจำแนกกลุ่มในรูปคะแนนมาตรฐาน
Z/
Y
= .928 (IQ) + .437 (ATT)
โดยสรุป ผลการวิจัยครั้งนี้ ใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนเกิด
เจตคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ ทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมให้มีความถนัดทางการเรียน
เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่อไป

Article Details

ประเภทบทความ
บทความวิจัย