การพัฒนาแบบทดสอบวินิจฉัยแบบสี่ชั้นและตัวแบบกิจกรรมการปรับลดมโนทัศน์ที่ คลาดเคลื่อนในวิชาแคลคูลัส 1 ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาแบบทดสอบวินิจฉัยมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนในวิชาแคลคูลัส 1
2) ศึกษาสาเหตุที่ทำให้นักศึกษาเกิดมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนในวิชาแคลคูลัส 1 3) พัฒนาตัวแบบกิจกรรมการ
ปรับลดมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนในวิชาแคลคูลัส 1และ 4) เปรียบเทียบมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนในการเรียนวิชา
แคลคูลัส 1 ของนักศึกษาที่เข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์ตามตัวแบบ (model) ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นกับ
นักศึกษาที่เข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์ด้วยวิธีปกติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักศึกษา
ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงชั้นปีที่1จากวิทยาลัยเทคนิคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สังกัดสำนักงาน
คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ในปีการศึกษา 2558 แบ่งเป็น 3 กลุ่มคือกลุ่มที่ 1ได้แก่ประเภทวิชาช่าง
อุตสาหกรรม จำนวน 3,239 คนจาก 12 วิทยาลัยได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (cluster random
sampling) เพื่อใช้ในการสร้างแบบทดสอบวินิจฉัย กลุ่มตัวอย่างที่ 2 ได้แก่นักศึกษาช่างไฟฟ้าวิทยาลัยเทคนิค
สกนครจำนวน 36 คน หนึ่งห้องเรียนเพื่อใช้เป็นกลุ่มทดลองตัวแบบ (model) และนักศึกษาช่างไฟฟ้า
วิทยาลัยเทคนิคอุดรธานี จำนวน 33 คน หนึ่งห้องเรียน เพื่อใช้เป็นกลุ่มควบคุม ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบ
เจาะจง (purposive sampling) กลุ่มที่ 3 ได้แก่นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคสกลนครที่เคยเรียนวิชาแคลคูลัส 1
จำนวน 240 คน จาก 8 ห้องเรียนโดย ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (cluster random sampling) เพื่อ
ทดสอบหาความบกพร่องในการเรียนวิชาแคลคูลัส 1 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือแบบทดสอบวินิจฉัยแบบ
สี่ชั้นจำนวน 19 ฉบับๆ ละ 18-32 ข้อ รวมทั้งสิ้น 491 ข้อ ซึ่งคัดเลือกมาจากข้อสอบ 645 ข้อ ได้มาโดยการ
พัฒนาแบบทดสอบวัดความบกพร่องชนิดเติมคำ จำนวน 5 ฉบับ ๆ ละ 15 ข้อ การหาคุณภาพของแบบทดสอบวินิจฉัยแบบสี่ชั้นจะหาเฉพาะชั้นที่หนึ่งซึ่งเป็นคำถามที่ถามเกี่ยวกับเนื้อหามโนทัศน์ในเรื่องนั้นๆกับชั้นที่สามซึ่ง
เป็นคำถามที่ถามเกี่ยวกับเหตุผลในการเลือกตอบตัวเลือกในคำถามชั้นที่หนึ่งเท่านั้น ส่วนคำถามชั้นที่สองและ
ชั้นที่สี่เป็นการถามถึงระดับความมั่นใจในการตอบในคำถามชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สามตามลำดับ โดยจะหาค่า
ความยาก ค่าอำนาจจำแนกรายข้อและหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ
ผลการวิจัยพบว่า
1) จากการสร้างแบบทดสอบวินิจฉัยจำนวน 19 ฉบับ ๆ ละ 27-36 ข้อ รวม 645 ข้อ พบว่าได้ข้อสอบ
ที่ที่มีคุณภาพเข้าเกณฑ์จำนวน 19 ฉบับๆละ 18-32 ข้อ จำนวน 491 ข้อ มีค่าความยากรายข้อของคำถามชั้นที่
1 ตั้งแต่ 0.20-0.80 ค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ตั้งแต่ 0.20-0.80 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ
ตั้งแต่0.72 - 0.89 ส่วนค่าความยากรายข้อของคำถามชั้นที่ 3 ตั้งแต่ 0.20 - 0.76 และค่าอำนาจจำแนกรายข้อ
ตั้งแต่ 0.20- 0.82 และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับตั้งแต่ 0.71- 0.89
2) สาเหตุที่ทำให้นักศึกษามีมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนในวิชาแคลคูลัส 1พบว่านักศึกษามีมโนทัศน์ที่
คลาดเคลื่อนในด้านบทนิยามและทฤษฎีบท ด้านสัญลักษณ์ ด้านการดำเนินการแก้โจทย์ปัญหาและด้านกฎสูตร
ตั้งแต่ร้อยละ 73.31 - 78.77 มีความมั่นใจในการตอบคำถามชั้นที่ 1 ต่ำกว่าระดับมั่นใจลงมาตั้งแต่ร้อยละ
88.05 - 91.49 โดยให้เหตุผลที่ผิดในการตอบตั้งแต่ร้อยละ 74.80 - 89.15 และมีความมั่นใจในการตอบคำถาม
ชั้นที่ 3 ต่ำกว่าระดับมั่นใจลงมาตั้งแต่ร้อยละ 86.96 - 91.49
3) ตัวแบบ (model) กิจกรรมการปรับลดมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนในวิชาแคลคูลัส 1ที่พัฒนาขึ้น
ประกอบด้วย 5 ตอนคือ 1) สำรวจภูมิหลังของนักเรียน 2) ออกแบบกิจกรรม 3) สร้างความรู้ 4) ประเมินเพื่อ
การเรียนรู้ และ 5) นำไปใช้ ซึ่งในแต่ละขั้นตอนจะมีกิจกรรมที่ครูและผู้เรียนปฏิบัติ ตัวแบบที่พัฒนาขึ้นผ่านการ
ทดลองใช้และผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นพ้องตรงกันว่าองค์ประกอบในตัวแบบมีความสอดคล้องกัน ส่งเสริมและมี
ส่วนเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน
4) ผลการเปรียบเทียบมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนของนักศึกษาในวิชาแคลคูลัส 1 ของนักศึกษาที่เข้าสู่
กระบวนการเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์ตามตัวแบบที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีคะแนนเฉลี่ยของคะแนนพัฒนาการของ
นักศึกษากลุ่มทดลองสูงกว่านักศึกษาที่เข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์ด้วยวิธีปกติ อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าเฉลี่ยของขนาดผลมีขนาดใหญ่ ( = 2.30, x x 1 2 9.26, CI=7.74-10.79)
แสดงว่านักศึกษากลุ่มทดลองมีการปรับเปลี่ยนมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนลดลง
Article Details
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่งไปเผยแพร่ต่อหรือกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก่อนเท่านั้น
เอกสารอ้างอิง
2. พงศ์สนิท สนิทวงศ์. (2518). แคลคูลัสและเรขาคณิตวิเคราะห์. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.
3. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท). (2555). การวัดผลแลประเมินผลคณิตศาสตร์.
กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น.
4. สมโภชน์ อเนกสุข. (2553). วิธีการทางสถิติส าหรับการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 4. ชลบุรี: คณะศึกษาสาสตร์
มหาวิทยาลัยบูรพา.
5. อัมพร ม้าคนอง. (2557). คณิตศาสตร์ส าหรับครูมัธยม. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
6. Cohen, J. (1988). Statistical Power Analysis for the Behavioral Sciences. NJ: Lawerence
Erlbaum.
7. Keeves, J.P. (1997). Education research, methodology, and measurement an international
handbook. Oxford: Pergamon Press.
8. Parameswaran. (2007). Obstacles to student’s understanding of the limit concept. [Online].
Available from: https://keynote onference-sevices.net/resources/…/cerme10-
0231.pdf.
9. Salas, S. L, & Hille, E. (1971). Calculus one and several variables. (3rd ed).
New York: John Wiley & Sons.
10.Tall, D.O. (1993). Functions and Calculus. [Online]. Available from:
http:// citeseerx.ist.pu.edu/viewdee/download? doi=10.1.1.377.207
11. Treagust, D. F. (1988). Development and use of diagnostic tests to evaluate student’
misconceptions in science. International Journal of science education, 10(2), 159-169.
12. Uygur & Ozdas. (2005). Calculus student’ understanding of the derivative in relation to the
vertex of a quadratic function. [Online]. Available from:
http:// scholarworks.gsu.edu/math-diss.