การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการศึกษาเชิงพหุวัฒนธรรมสำหรับโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการในการบริหารจัดการศึกษาเชิงพหุวัฒนธรรมสำหรับโรงเรียนประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วยผู้อำนวยการโรงเรียนและครูวิชาการ 216 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการศึกษาเชิงพหุวัฒนธรรมสำหรับโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้เชี่ยวชาญ 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่ามัธยฐานและค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ 3) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารจัดการศึกษาเชิงพหุวัฒนธรรมสำหรับโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มเดียวกันกับขั้นตอนที่ 1 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบประเมิน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน และความต้องการในการบริหารจัดการศึกษาเชิงพหุวัฒนธรรมของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จังหวัดสมุทรปราการ พบว่า ในภาพรวมการปฏิบัติงานในปัจจุบันอยู่ในระดับดี และสำหรับระดับความคาดหวังการปฏิบัติในอนาคต ภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก 2) รูปแบบการบริหารจัดการศึกษาเชิงพหุวัฒนธรรมสำหรับโรงเรียนประถมศึกษา ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก คือ 1) การมีส่วนร่วม 2) การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดพหุวัฒนธรรม 3) การเสริมสร้างเจตคติเชิงบวก 4) การส่งเสริมความเท่าเทียมทางสังคม และ 5)การสร้างวัฒนธรรมสร้างสรรค์ของสถานศึกษา โดยแต่ละด้านจะมีกระบวนการบริหารจัดการ ประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์กร การนำ และการควบคุม แนวทางในการบริหารจัดการแต่ละด้านรวมทั้งหมด 140 กิจกรรม 3) ผลการประเมินรูปแบบการบริหารจัดการศึกษาเชิงพหุวัฒนธรรมสำหรับโรงเรียนประถมศึกษา โดยภาพรวมในด้านความเหมาะสมและด้านความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนด้านความเป็นไปได้ในการนำไปใช้อยู่ในระดับมาก
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารฉบับนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้นเพียงผู้เดียว และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการคัดเลือกบทความลงตีพิมพ์และจะแจ้งให้เจ้าของบทความทราบหลังจากผู้ประเมินบทความตรวจอ่านบทความแล้ว
ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้ามนำข้อความทั้งหมดหรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยฯ เป็นลายลักษณ์อักษร
เอกสารอ้างอิง
จรูญ จัวนาน. (2538). การศึกษาสำหรับสังคมหลายวัฒนธรรม. วารสารรูสะมิแล. 16. 22-26.
บังอร ร้อยกรอง. (2553). การพัฒนาแนวทางการจัดการศึกษาในสังคมพหุวัฒนธรรม. ดุษฎีนิพนธ์คุรุศาสตรดุษฎีบัณฑิต. วิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุชาติ ถาวระ, เสาวณีย์ สิกขาบัณฑิต และพีระพงษ์ สิทธิอมร. (2562). กลยุทธ์การจัดการศึกษานอกระบบของศูนย์วิทยาศาตร์ เพื่อการศึกษานราธิวาสเพื่อความมั่นคงของจังหวัดชายแดนภาคใต้. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ. 8(1). 196-203.
อธิปัตย์ คลี่สุนทร. (2552). การศึกษาพหุวัฒนธรรม. แหล่งที่มา www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=30582&Key=news_research สืบค้นเมื่อ 8 ก.ค. 2552.
อามัดไญนี ดาโอะ. (2551). การสอนพหุวัฒนธรรมในสามจังหวัดชานแดนภาคใต้...จำเป็นจริงหรือ?. แหล่งที่มา http://www.saengtham.com/collum5.pdf. สืบค้นเมื่อ 1 ก.พ. 2554.
Banks, James A. (1994). An Introduction to Multicultural Education. Boston: University of Washington, Seattle.
Bordas, J. (2009). White Men and Women Can’t Lead (everyone): Eight Ways to Practice Multicultural Age. Public Management. 91(1). 3-6.
Canen, A. G. & Canen, A. (2002). Multicultural Leadership: the Costs of Its Absence in Organizational Conflict Management. The Journal of conflict Management. 19(1). 4-19.
Krejcie, R. V. & Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement. 30(3). 607-610.
Robbins, S. P. & Coulter, M. (1999). Management. New Jersey: Prentice-Hall.