วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU <h2><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย</span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></h2> <div id="content"> <div id="journalDescription"> <p class="a" align="left"><strong><span lang="TH"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">จัดทำดัชนีใน </span></span></span></span></span></span></span></span></span></span><a title="ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย: ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงไทย (TCI)" href="https://www.kmutt.ac.th/jif/public_html/" target="_blank" rel="noopener"><img title="tci" src="https://www.tci-thaijo.org/public/site/images/tci_admin/tci.png" alt="tci" width="90" height="35" border="0" /></a></span></strong></p> </div> </div> <p><strong>วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย <span style="vertical-align: inherit;">ISSN: 2392-5507, E-ISSN: 2673-0030</span></strong></p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : </strong></p> <p> มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสตร์ ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และสาขาวิชาสหวิทยาการอื่นๆ</p> <p>บทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์ หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความในวารสารอย่างเคร่งครัด โดยอ้างอิงตามรูปแบบของ APA (นาม-ปี) รวมถึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวารสารฯ และเป็นบทความที่ไม่มีความหลายมากกว่า 25% ตามที่ถนนในโปรแกรม CopyCat ในเว็บ Thaijo2</p> <p>ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารฯ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ โดยไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของวารสารฯ</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ : </strong></p> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ 2 แบบ คือ</p> <p>แบบที่ 1 บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 ท่าน ต่อ 1 บทความ แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)</p> <p>แบบที่ 2 บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 ท่าน ต่อ 1 บทความ แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)</p> <p><strong>ประเภทของบทความ : </strong></p> <p>ประเภทของบทความที่รับตีพิมพ์ คือ บทความวิจัย (Research Article) และบทความวิชาการ (Original Article) </p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์ :</strong></p> <p>บทความที่รับตีพิมพ์รับภาษาที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>กำหนดออก : </strong></p> <p>กำหนดออกตีพิมพ์ 3 ฉบับ ต่อปี (ราย 4 เดือน) ดังนี้</p> <p>ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - เมษายน (กำหนดออก เดือนเมษายน)</p> <p>ฉบับที่ 2 เดือน พฤษภาคม - สิงหาคม (กำหนดออก เดือนสิงหาคม)</p> <p>ฉบับที่ 3 เดือน กันยายน - ธันวาคม (กำหนดออก เดือนธันวาคม)</p> en-US <p>ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารฉบับนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้นเพียงผู้เดียว และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> <p>กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการคัดเลือกบทความลงตีพิมพ์และจะแจ้งให้เจ้าของบทความทราบหลังจากผู้ประเมินบทความตรวจอ่านบทความแล้ว</p> <p>ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้ามนำข้อความทั้งหมดหรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยฯ เป็นลายลักษณ์อักษร</p> boonpoo999@hotmail.com (รศ.ดร.สมศักดิ์ บุญปู่) yannawat.bud@mcu.ac.th (พระมหาญาณวัฒน์ ฐิตวฑฺฒโน, ผศ.ดร.) Tue, 26 Aug 2025 21:44:14 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ภาวะผู้นำดิจิทัล: บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการขับเคลื่อนการศึกษาไทย https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278695 <p>การขับเคลื่อนการศึกษาไทยในยุค Thailand 4.0 เน้นการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล พัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิพากษ์ การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกัน พร้อมทั้งส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน และการบูรณาการการศึกษาเข้ากับนวัตกรรม เพื่อสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพสูงและสามารถแข่งขันในระดับสากลได้ แผนการพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2566-2570 ได้กำหนดทิศทางและแนวทางในการปฏิรูปการศึกษาที่สำคัญหลายประการ เพื่อให้การศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยสามารถตอบสนองต่อความต้องการของยุค Thailand 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p>การขับเคลื่อนการศึกษาตามแผนพัฒนานี้เป็นก้าวสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนไทยในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ โดยเน้นการสร้างระบบการศึกษาแบบองค์รวมที่สนับสนุนการพัฒนาทักษะและความรู้ที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 และการเตรียมพร้อมให้เยาวชนสามารถปรับตัวและเผชิญกับความท้าทายของโลกอนาคตแห่งยุคเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพในการบริหารยุคดิจิทัลต้องพึ่งพิงบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการขับเคลื่อนด้วยการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ดิจิทัลของบุคลากรในองค์กรและพาองค์กรการศึกษาไปสู่ความสำเร็จตามวิสัยทัศน์และพันธกิจที่กำหนดไว้ โดยภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วยคุณลักษณะ 5 ด้าน คือ 1) การมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล 2) การสื่อสาร/ประชาสัมพันธ์ 3) มีความรู้ดิจิทัล 4) การสร้างนวัตกรรม และ 5) การสร้างภาพลักษณ์ และเครือข่ายความร่วมมือ</p> กฤตลักษณ์ รัตนเหมากุล , วุฒิชัย เนียมเทศ, เอกรินทร์ สังข์ทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278695 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การบริหารขับเคลื่อนสถานศึกษาขนาดเล็กโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279587 <p>ในบริบทของสถานศึกษาขนาดเล็กในประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 50% ของสถานศึกษาทั้งประเทศ โรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้มักประสบปัญหาในการจัดการด้านบุคลากร ทรัพยากร และการบริหารอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณและจำนวนครู การดำเนินงานของโรงเรียนต้องพึ่งพาความสามารถของผู้อำนวยการสถานศึกษาเป็นหลัก ซึ่งต้องรับบทบาทหลากหลาย ทั้งด้านการสอน การบริหาร และการประสานงานกับชุมชน ในขณะเดียวกัน กระแสการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทในภาคการศึกษา โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้เสนอกรอบสมรรถนะ AI สำหรับนักเรียน ซึ่งสนับสนุนให้สถานศึกษาใช้ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ การบริหารจัดการ และการสื่อสารกับชุมชน ซึ่งบทความนี้นำเสนอแนวทางการบริหารสถานศึกษาขนาดเล็กด้วยการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ ใน 5 ด้าน ได้แก่ การจัดการเรียนรู้ การวางแผนและตัดสินใจ ความปลอดภัยของนักเรียน ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมีกรณีศึกษาจากโรงเรียนวัดบ้านลำนัง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 ซึ่งใช้ AI Tools เช่น Dashboard, Chatbot, Predictive Analytics และ Generative AI มาสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูล การวางแผน และการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ปกครองอย่างเป็นระบบ ผลลัพธ์ที่ได้แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ความแม่นยำในการตัดสินใจ และความเชื่อมั่นของชุมชนที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยข้อเสนอในบทความนี้เน้นให้สถานศึกษาขนาดเล็กปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การบริหารจากรูปแบบดั้งเดิมสู่ระบบการบริหารจัดการขับเคลื่อนฐานข้อมูล โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์เป็นผู้ช่วยที่ “ฉลาด ยืดหยุ่น และโปร่งใส” เสริมสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา และออกแบบนโยบายด้านจริยธรรมเทคโนโลยี เพื่อให้สถานศึกษาขนาดเล็กสามารถพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับนักเรียนได้อย่างยั่งยืนในศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริง</p> สิริพร ผลประเสริฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279587 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การนิเทศแบบเสริมพลัง : การพัฒนาการศึกษาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279352 <p>บทความวิชาการนี้เป็นการนำเสนอแนวคิดหลักการนิเทศแบบเสริมพลังของของผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อพัฒนาการศึกษาสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน การนิเทศการศึกษา เป็นวิธีการหนึ่งในการพัฒนาครูในการจัดการเรียนการสอนให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ (2561-2580) มีเป้าหมายในการสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ที่อยู่บนหลักการใช้การรักษาและการฟื้นฟูฐานทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยเฉพาะเยาวชนจึงจำเป็นต้องพัฒนาให้มีคุณภาพ ทักษะอาชีพ ที่ตรงตามเป้าหมาย การนิเทศการศึกษาจึงเกี่ยวโยงกับเป้าหมายดังกล่าว เนื่องจากแป็นกลไกในการขับเคลื่อนการศึกษาผ่านครูผู้สอนในสถานศึกษา การร่วมมือกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศเป็นความร่วมมือและร่วมกันดำเนินงานให้สู่เป้าหมาย การนิเทศแบบเสริมพลังเป็นรูปแบบหนึ่งของการนิเทศแบบร่วมมือ ประกอบด้วย 8 กระบวนการ คือ 1) การสร้างความเข้าใจ 2) การมอบอำนาจ 3) การสร้างเครือข่าย 4) การทำงานร่วมกัน 5) การดำเนินงาน 6) การสนับสนุนทรัพยากร 7) การเสริมพลังสร้างขวัญกำลังใจ และ 8) การนิเทศและประเมินผล นอกจากการนิเทศแบบเสริมพลังแล้วในบบทความนี้ยังกล่าวถึง หลักการนิเทศการศึกษา กระบวนการนิเทศการศึกษา การพัฒนาการศึกษา และการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการนิเทศอีกด้วย</p> สุพัตรา สิงหเสม , วุฒิชัย เนียมเทศ, เรชา ชูสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279352 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถานศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279020 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบและแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถานศึกษา เพื่อส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู อันจะเป็นแนวทางสำคัญให้เกิดการพัฒนาสถานศึกษา และพัฒนาคุณภาพของนักเรียนให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ ซึ่งนับว่าการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานนี้มีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาครู ซึ่งเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญของโรงเรียน ให้เกิดการพัฒนาตนเอง และวิชาชีพได้อย่างถูกต้องเหมาะสม สร้างสรรค์เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และส่วนรวม ตลอดจนส่งผลต่อการพัฒนาสถานศึกษาได้อย่างรอบด้าน ครอบคลุมในทุกมิติ สภาพปัญหาในปัจจุบันท่ามกลางสังคมและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต และการปฏิบัติหน้าที่ของครู ทำให้ครูเกิดภาวะถดถอยในการปฏิบัติงาน เกิดความเบื่อหน่าย และประการที่สำคัญคือ ไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มศักยภาพและความสามารถ ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ และการดำเนินงานของโรงเรียน รวมไปถึงส่งผลกระทบต่อนักเรียน ผู้บริหาร และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในวงกว้าง ทั้งนี้สังคมยุคใหม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในหลากหลายด้าน การที่จะส่งเสริมและพัฒนาครูให้มีความพร้อม และมีแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ครูเกิดแรงจูงใจ และแรงขับเคลื่อนในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล จึงเป็นหน้าที่สำคัญประการหนึ่งที่ผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นต้องเอาใจใส่ เห็นความสำคัญของการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ดังนั้น การสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูควรเริ่มจากการศึกษาและสร้างองค์ประกอบของแรงจูงใจ และการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานให้สอดคล้องและสัมพันธ์กับความต้องการของครูครอบคลุมการปฏิบัติหน้าที่และการดำรงชีวิต ลักษะงาน ความสำเร็จในชีวิต และความก้าวหน้าในการทำงาน เพื่อส่งเสริมให้ครูมีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานและมีความสุข เพื่อจะเป็นแรงขับเคลื่อนสถานศึกษาให้ประสบผลสำเร็จ</p> สุภัคพร นิธิพัฒนกาญจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279020 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดอรรถฐานในรายวิชาภาษาไทย เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนความเรียง สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสาธิตสังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278552 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหาการเขียนความเรียงวิชาภาษาไทยนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดอรรถฐานในวิชาภาษาไทยเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนความเรียงวิชาภาษาไทย และ 3) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้การเขียนความเรียงวิชาภาษาไทยตามแนวคิดการเขียนแบบอรรถฐาน โดยมีพื้นที่วิจัยคือนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนมัธยมสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏ ทั้ง 12 โรงเรียน ปีการศึกษา 2567 กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนจาก 3 โรงเรียน โดยการสุ่มแบบจัดกลุ่มตามลำดับชั้นได้โรงเรียนละ 20 คน รวมทั้งสิ้น 60 คน และอาจารย์ภาษาไทย จำนวน 3 คน โดยการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4 ชนิด คือ 1) แบบสอบถามสภาพปัญหาการเขียนความเรียง 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบประเมินความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม SPSS</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาการเขียนความเรียงวิชาภาษาไทยคือนักเรียนขาดความรู้ และการเรียงลำดับความสำคัญก่อนลงมือเขียน 2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดอรรถฐานในรายวิชาภาษาไทยเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนความเรียงสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย มี 5 ขั้นตอน ดังนี้ (1) การสร้างความเข้าใจกับบทอ่าน (2)การศึกษาอรรถลักษณะของบทอ่าน (3) การร่วมกันผลิตงานเขียนฉบับร่าง (4) การเขียนเป็นรายบุคคล (5) การวัดโดยใช้เกณฑ์การประเมินความสามารถในการเขียน 7 ด้าน 3) ประสิทธิภาพของรูปแบบมีค่า E1/E2 เท่ากับ 90.00 / 82.91 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 และนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนมีความพึงพอใจรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดอรรถฐานในรายวิชาภาษาไทยเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนความเรียงอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ยศชวิน กุลด้วง , ชัยเดช นาคสะอาด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278552 Tue, 26 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารงานวิชาการในยุคดิจิทัลของโรงเรียนรัษฎา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตรัง กระบี่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277159 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนรัษฎา 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการในยุคดิจิทัลของโรงเรียนรัษฎา และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการบริหารงานวิชาการในยุคดิจิทัลของโรงเรียนรัษฎา เป็นการวิจัยเป็นเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 15 คน การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน การสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน มีเครื่องมือการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบการสนทนากลุ่ม และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาตามแบบสัมภาษณ์และแบบการสนทนากลุ่ม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนรัษฎา พบว่า (1) การพัฒนาหลักสูตร ผู้บริหารมีการส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาอย่างเป็นระบบ ทุกฝ่ายลงมือปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นตั้งใจทุกคนมีส่วนร่วมตามกระบวนการ ทำให้สถานศึกษามีหลักสูตรที่สอดคล้องกับบริบทและพัฒนาผู้เรียนได้อย่างเต็มศักยภาพ (2) การจัดการเรียนการสอน ครูมีวิธีการจัดการเรียนการสอนที่หลากหลายส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ที่สูงกว่าค่าเป้าหมายของโรงเรียน (3) การวัดและประเมินผลมีการบริหารจัดการสร้างและปรับปรุงเครื่องมือการวัดผลการเรียนและนำผลจากการวัดและประเมินผลมาใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงบริหาร (4) ด้านการนิเทศติดตาม มีการส่งเสริมการปฏิบัติงานและความร่วมมือในการทำงานของครูปรับปรุงคุณภาพของงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 2) แนวการบริหารงานวิชาการในยุคดิจิทัลของโรงเรียนรัษฎา ประกอบด้วย (1) การพัฒนาหลักสูตร ต้องปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยต้องเริ่มจากการวิเคราะห์ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร (2) ด้านการจัดการเรียนการสอน การจัดการเรียนการสอนต้องเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมและพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน (3) การวัดและประเมินผล มีการประเมินทุกช่วงชั้น พัฒนาเครื่องมือวัดผลผ่านระบบดิจิทัล (4) การนิเทศติดตาม ใช้เทคโนโลยีเพื่อการบริหารจัดการงานด้านการติดตามนิเทศมีความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และ 3) การนำเสนอแนวทางการบริหารงานวิชาการในยุคดิจิทัลของโรงเรียนรัษฎา พบว่ามีความเป็นไปได้ มีความเหมาะสม และเป็นประโยชน์นำไปใช้ในการบริหารงานวิชาการในยุคดิจิทัลของโรงเรียนรัษฎา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตรัง กระบี่</p> ณัฏฐธิดา จงมี , พระครูพิจิตรศุภการ , บุญเลิศ วีระพรกานต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277159 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความต้องการจำเป็นของการพัฒนาการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามแนวคิดผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278661 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก และ 2) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของการพัฒนาการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก เป็นการวิจัยแบบวิจัยเชิงสำรวจ โดยประชากร คือ โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 2,085 โรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 324 โรงเรียน ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือรองผู้อำนวยการสถานศึกษา 1 คน หัวหน้าฝ่ายวิชาการหรือครูผู้รับผิดชอบงานวิชาการ 1 คน และหัวหน้าฝ่ายกิจการนักเรียนหรือครูผู้รับผิดชอบงานกิจการนักเรียน 1 คน รวมโรงเรียนละ 3 คน รวมกลุ่มผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 972 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก เมื่อจำแนกตามการบริหารวิชาการ พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ การประเมินผลการใช้หลักสูตรสถานศึกษา รองลงมาคือ การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนการสอน เมื่อจำแนกตามแนวคิดผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก สำหรับสภาพปัจจุบันด้านกิจการนักเรียน พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกตามแนวคิดผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ พลังในการค้นหาตัวตน รองลงมาคือ ความปรารถนาที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม และการยืนหยัดและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคเพื่อบรรลุเป้าหมาย สำหรับสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก เมื่อจำแนกตามการบริหารวิชาการ พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ความปรารถนาที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม และการยืนหยัดและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคเพื่อบรรลุเป้าหมาย สำหรับสภาพที่พึงประสงค์ด้านกิจการนักเรียน พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ การกำหนดขอบข่ายการจัดกิจกรรมประจำวัน รองลงมาคือ การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรและนอกหลักสูตร และการจัดกิจกรรมโดยบูรณาการผ่านการลงมือปฏิบัติ ตามลำดับ 2) ความต้องการจำเป็นของการพัฒนาการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาตามแนวคิดผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก เมื่อจำแนกตามการบริหารวิชาการ พบว่า ความต้องการจำเป็นสูงสุดคือ การนำหลักสูตรไปใช้จัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน รองลงมาคือ การพัฒนากระบวนการเรียนการสอน เช่น การอบรมพัฒนาครู การประเมินผลการใช้หลักสูตรสถานศึกษา และการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ตามลำดับ สำหรับด้านกิจการนักเรียน พบว่า ความต้องการจำเป็นสูงสุดคือ การจัดกิจกรรมโดยบูรณาการผ่านการลงมือปฏิบัติ รองลงมาคือ การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรและนอกหลักสูตร และการกำหนดขอบข่ายการจัดกิจกรรมประจำวัน ตามลำดับ และเมื่อจำแนกตามแนวคิดผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก พบว่า ความต้องการจำเป็นสูงสุดคือ พลังในการค้นหาตัวตน รองลงมาคือ ความปรารถนาที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม และการยืนหยัดและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคเพื่อบรรลุเป้าหมาย</p> ธนภูวดล เวชชวณิชย์, นันทรัตน์ เจริญกุล , พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278661 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-Based Learning: CBL) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยาและความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278251 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-Based Learning: CBL) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา 2) เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-Based Learning: CBL) ที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 การวิจัยใช้รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนมารีวิทย์ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติอนุมาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยาหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานมีความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการศึกษาสะท้อนว่าการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานสามารถช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา และความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> พิมพ์พจี ภิญโญ, นพมณี เชื้อวัชรินทร์, เชษฐ์ ศิริสวัสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278251 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278170 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครู จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และขนาดของสถานศึกษา เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยมีกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 300 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น 0.992 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 เมื่อจำแนกตามวุฒิการศึกษา ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเมื่อจำแนกตามประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และขนาดของสถานศึกษาในภาพรวมไม่แตกต่างกัน</p> ณัฐธยาน์ ไพรี, เฉลิมชัย หาญกล้า , ภูวดล จุลสุคนธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278170 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความฉลาดในการฟันฝ่าอุปสรรคของผู้บริหารกับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพครู ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279421 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) ความฉลาดในการฟันฝ่าอุปสรรคของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 2) การปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดในการฟันฝ่าอุปสรรคของผู้บริหารกับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 <br />จำนวน 86 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 2 คน ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษาหรือรักษาการในตำแหน่ง จำนวน 1 คน และครู จำนวน 1 คน รวมทั้งสิ้น 172 คน และได้แบบสอบถามที่สมบูรณ์จากผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาจำนวน 71 แห่ง 142 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 82.56 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความฉลาดในการฟันฝ่าอุปสรรคของผู้บริหารสถานศึกษา ตามแนวความคิดของสตอลทซ์และการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพครูในสถานศึกษา ตามข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ และจรรยาบรรณวิชาชีพ พ.ศ. 2562 สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความฉลาดในการฟันฝ่าอุปสรรคของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐมเขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 โดยภาพรวม<br />อยู่ในระดับมาก 3) ความฉลาดในการฟันฝ่าอุปสรรคของผู้บริหารกับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพครู<br />ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 มีความสัมพันธ์กันอย่าง<br />มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยเป็นความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูง</p> พนิดา เรนชนะ, ศักดิพันธ์ ตันวิมลรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279421 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 การประเมินโครงการเสริมพลังบวก สร้างพลังใจด้วยระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนบ้านสันยูง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278872 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อประเมินระบบโครงการ 2) เพื่อประเมินการวางแผนโครงการ 3) เพื่อประเมินการนำไปใช้ 4) เพื่อประเมินการปรับปรุงโครงการ และ 5) เพื่อประเมินการยอมรับโครงการของโครงการเสริมพลังบวก สร้างพลังใจด้วยระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนบ้านสันยูง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 โดยมีกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร จำนวน 1 คน ครูจำนวน 9 คน นักเรียนจำนวน 18 คน และผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนบ้านสันยูง จำนวน 24 คน รวมทั้งหมด 52 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถาม จำนวน 3 ฉบับ ฉบับที่ 1 แบบสอบถามด้านการประเมินระบบโครงการและประเมินการวางแผนโครงการ ฉบับที่ 2 แบบสอบถามด้านการประเมินการนำไปใช้ ฉบับที่ 3 แบบสอบถามด้านการประเมินการปรับปรุงโครงการและประเมินการยอมรับโครงการ และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การประเมินระบบโครงการเสริมพลังบวก สร้างพลังใจด้วยระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนบ้านสันยูง โดยรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด 2) การประเมินการวางแผนโครงการเสริมพลังบวก สร้างพลังใจด้วยระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนบ้านสันยูง โดยรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด 3) การประเมินการนำไปใช้ของโครงการเสริมพลังบวก สร้างพลังใจด้วยระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนบ้านสันยูง โดยรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด 4) การประเมินการปรับปรุงโครงการเสริมพลังบวก สร้างพลังใจด้วยระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนบ้านสันยูง โดยรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ครูส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ในเรื่องการให้คำปรึกษาแบบเชิงลึก และครูที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดรอบโครงการต้องตามตามงานจากครูประจำชั้นอย่างเคร่งครัด ครูใช้คำพูดที่กระทบต่อจิตใจของนักเรียน ทำให้นักเรียนเกิดดความเสียใจ 5) การประเมินการยอมรับโครงการเสริมพลังบวก สร้างพลังใจด้วยระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนบ้านสันยูง โดยรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด</p> โสภา เนาว์สุวรรณ, อรรครา ธรรมาธิกุล , วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ , ปราโมทย์ พรหมนิล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278872 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษากับระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียน ของโรงเรียนในสำนักงานพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278492 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 2) เพื่อศึกษาระบบช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษากับระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียน ของโรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 4) ศึกษาตัวแปรพยากรณ์คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียนของโรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 เป็นการวิจัยแบบเป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 327 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครศรีธรรมราช เขต 2 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ความเป็นผู้นำ รองลงมา คือ คุณธรรม จริยธรรม และมนุษยสัมพันธ์ ส่วนด้านที่ค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ความคิดสร้างสรรค์ 2) ระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครศรีธรรมราช เขต 2 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล รองลงมา คือ การส่งเสริมนักเรียน ส่วนด้านที่ค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ การป้องกันช่วยเหลือและแก้ไข <strong>3) </strong>ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษากับระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียนของโรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 พบว่า มีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และเมื่อพิจารณาเป็นรายคู่ พบว่า คู่ที่มีความสัมพันธ์กันสูงที่สุด คือ คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษา (X) ระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียนของโรงเรียน (Y) มีความสัมพันธ์ในทางบวกอยู่ในระดับสูงมาก รองลงมา คือ คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษา (X) ระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียนของโรงเรียน (Y) มีความสัมพันธ์ในทางบวกอยู่ในระดับค่อนสูงมาก ส่วนด้านที่มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ต่ำที่สุด คือ คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษา บุคลิกภาพ (X<sub>1</sub>) กับระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียน ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล (Y<sub>1</sub>) มีความสัมพันธ์ในทางบวกอยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 4) ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียนของโรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราชเขต 2 พบว่า ตัวแปรที่ดีที่สุดในการพยากรณ์ที่ส่งผลต่อระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียนของโรงเรียน คือ ด้านความคิดสร้างสรรค์(X<sub>7</sub>) ด้านมนุษยสัมพันธ์(X<sub>4</sub>) ด้านวิสัยทัศน์ (X<sub>6</sub>) ด้านความเป็นผู้นํา(X<sub>5</sub>) ด้านบุคลิกภาพ(X<sub>1</sub>) ด้านคุณธรรม จริยธรรม(X<sub>2</sub>) สามารถร่วมกันทำนายระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียนของโรงเรียน (Y) ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ซึ่งตัวแปรทั้ง 6 สามารถอธิบายระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียนของโรงเรียน ได้ร้อยละ 66.20</p> พัตราภรณ์ กงล้ำเลิศ , พระครูวุฒิชัยการโกศล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278492 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ตามหลักอปริหานิยธรรมของโรงเรียนเทศบาล 4 (บ้านแหลมทราย) สังกัดเทศบาลนครสงขลา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277119 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาของโรงเรียนเทศบาล 4 (บ้านแหลมทราย) 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาตามหลักอปริหานิยธรรม และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาตามหลักอปริหานิยธรรมของโรงเรียนเทศบาล 4 (บ้านแหลมทราย) สังกัดเทศบาลนครสงขลา เป็นการวิจัยแบบเชิงคุณภาพ โดยมีขั้นตอนการวิจัย 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เกี่ยวข้อง 15 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาตามหลักอปริหานิยธรรม ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ 5 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ขั้นตอนที่ 3 นำเสนอแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาตามหลักอปริหานิยธรรม โดยการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีการดำเนินงานคือ (1) การกำหนดมาตรฐานการศึกษา (2) การจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษา (3) การดำเนินงานตามแผน (4) การประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพ (5) การติดตามผลการดำเนินการ (6) การจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง (7) พัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพ (8) รับการประเมินคุณภาพภายนอก (9) นำข้อเสนอแนะจากการวิเคราะห์รายงานผลการประเมินตนเอง (SAR) ที่มีการดำเนินการตามระบบแต่ยังไม่ชัดเจนนัก 2) แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาตามหลักอปริหานิยธรรม มีแนวทางในการประยุกต์ใช้หลักอปริหานิยธรรม ประกอบด้วย (1) การประชุมร่วมกันเป็นประจำ (2) การทำงานอย่างสามัคคี (3) การยึดถือและเคารพกฎระเบียบที่ดี (4) การให้ความเคารพในผู้นำและผู้รู้ (5) การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และมติที่ประชุม (6) การส่งเสริมความเสมอภาคในองค์กร (7) การยกย่องสิ่งที่ดีงาม และ 3) ผลการนำเสนอแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาตามหลักอปริหานิยธรรม พบว่า มีความเหมาะสม มีความเป็นไปได้และมีความเป็นประโยชน์ ในดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาของสถานศึกษา</p> ปรีชา ผุดดำ, พระครูสุเมธปริยัติคุณ , กษมา ศรีสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277119 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 สมรรถนะของผู้บริหารกับการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278497 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา 2) การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสถานศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะของผู้บริหารกับการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางประมาณการขนาดของกลุ่มตัวอย่างของ Krejie and Morgan ได้จำนวน 73 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 2 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 1 คน และครู จำนวน 1 คน รวมทั้งสิ้น 146 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (คู่มือประเมินสมรรถนะครู) และการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสถานศึกษาของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา) ได้ค่าความเชื่อมั่นของทั้งแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ .979 และสถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยอยู่ในระดับมากที่สุด 7 ด้าน และอยู่ในระดับมาก 4 ด้าน 2) การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยอยู่ในระดับมากที่สุด 1 ด้าน และอยู่ในระดับมาก 4 ด้าน 3) สมรรถนะของผู้บริหารกับการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 ในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> อดิวัฒน์ เรือนรื่น , สงวน อินทร์รักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278497 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานเพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลก ที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277954 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาของการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลกที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 2) เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลกที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในโรงเรียนมัธยมศึกษา พื้นที่อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลตามวัตถุประสงค์ ได้แก่ 1) การสัมภาษณ์เชิงลึกครูผู้สอนรายวิชาสังคมศึกษาและนักเรียนเป็นผู้ให้ข้อมูลหลักที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดในเกณฑ์การคัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 8 คน ประกอบด้วยเครื่องมือวิจัย ได้แก่ แนวคำถามสัมภาษณ์เชิงลึก และ 2) การสัมภาษณ์เชิงลึกนักเรียนผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 36 คน และคุณครูผู้ร่วมสังเกตการณ์การจัดการเรียนรู้ จำนวน 1 คน ประกอบด้วยเครื่องมือวิจัย ได้แก่ (1) แนวคำถามสัมภาษณ์เชิงลึก (2) แนวทางสังเกตแบบมีส่วนร่วม (3) คู่มือกิจกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน หน่วยการเรียนรู้เรื่อง “การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ” ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์สรุปอุปนัย (Analytic Induction) หลังจากนั้นนำเสนอรายงานแบบพรรณนาเชิงวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันและปัญหาของการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลกที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้านหลักสูตรและเนื้อหา มีเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับแนวคิดพลเมืองโลก แต่ครูต้องพิจารณาเนื้อหาด้วยตนเอง ด้านการจัดการเรียนรู้ เน้นการบรรยายและการจดบันทึก ด้านผู้เรียนพบว่าพื้นฐานทางครอบครัวของนักเรียนส่งผลต่อแรงจูงใจ และพฤติกรรมในชั้นเรียน ด้านครูผู้สอน มีภาระงานที่ครูต้องรับผิดชอบ ทำให้มีเวลาไม่เพียงพอในการออกแบบการเรียนรู้ ด้านสภาพแวดล้อมในการจัดการเรียนรู้ มีการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม แต่บางแห่งยังขาดงบประมาณและทรัพยากรสนับสนุน ด้านสื่อการสอน ครูมีการใช้สื่อเทคโนโลยีในชั้นเรียนแต่ก็ยังขาดแคลนสื่อที่ดึงดูดความสนใจและเชื่อมโยงเนื้อหากับชีวิตจริง ด้านการวัดและประเมินผล ยังเน้นวัดผลจากการจดจำมากกว่า ผู้เรียนไม่มีโอกาสสะท้อนคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของตนเอง 2) การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลกที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า กิจกรรมการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องกับองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ทั้ง 5 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) ความเป็นองค์รวม (2) ตามสภาพจริง (3) ความสอดคล้องกับบริบท (4) การเรียนรู้เชิงแก้ปัญหา และ (5) กระบวนการเรียนรู้ และพบว่าผู้เรียนมีความเป็นพลเมืองโลกที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขเพิ่มมากขึ้น ภายหลังการทำกิจกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน</p> ณฐทรรศน์ กันไชยสัก , ปริญญา สร้อยทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277954 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 การประเมินโครงการพัฒนาการคิดและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โรงเรียนหัวไทร (เรือนประชาบาล) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278879 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินระบบโครงการ 2) ประเมินการวางแผนโครงการ 3) ประเมินการนำไปใช้เพื่อการดำเนินโครงการ 4) ประเมินการปรับปรุงโครงการ และ 5) ประเมินการยอมรับโครงการ พัฒนาการคิดและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โรงเรียนหัวไทร(เรือนประชาบาล) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 โดยมีกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร จำนวน 1 คน ครูจำนวน 6 คน และนักเรียนโรงเรียนหัวไทร (เรือนประชาบาล) ชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 1 - ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 278 คน รวมทั้งหมด 285 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถาม จำนวน 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 แบบสอบถามความคิดเห็นด้านระบบและด้านการวางแผน ฉบับที่ 2 แบบสอบถามความคิดเห็นด้านการนำไปใช้และการยอมรับ และแบบสัมภาษณ์ ด้านการปรับปรุง จำนวน 1 ฉบับ และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าร้อยละ คาเฉลี่ย และคาเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ส่วนที่ 1 การประเมินระบบโครงการพัฒนาการคิดและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์โรงเรียนหัวไทร(เรือนประชาบาล) โดยรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนที่ 2 การประเมินการวางแผนโครงการพัฒนาการคิดและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์โรงเรียนหัวไทร(เรือนประชาบาล) โดยรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนที่ 3 การประเมินการนำไปใช้โครงการพัฒนาการคิดและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์โรงเรียนหัวไทร(เรือนประชาบาล) โดยรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนที่ 4 การประเมินผลการปรับปรุงโครงการพัฒนาการคิดและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โรงเรียนหัวไทร(เรือนประชาบาล) โดยรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด และส่วนที่ 5 การประเมินการยอมรับโครงการพัฒนาการคิดและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โรงเรียนหัวไทร(เรือนประชาบาล) ได้แก่ โครงการมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โครงการมีกิจกรรมที่หลากหลาย และผู้เรียนมีกระบวนการคิด วิเคราะห์เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้เรียนมีความกล้าแสดงออกมากขึ้นและได้เรียนรู้วิธีคิดอย่างเป็นระบบนักเรียนนำทักษะและความรู้ไปใช้กับการเรียนและชีวิตประจำวันได้</p> อัญชณา รอดริน , อรรครา ธรรมมาธิกุล , วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ , ปราโมทย์ พรหมนิล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278879 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 การบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบตามหลักอิทธิบาท 4 ของเครือข่ายศูนย์ โรงเรียนบ้านทวดทอง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277235 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบของเครือข่ายศูนย์โรงเรียนบ้านทวดทอง 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบตามหลักอิทธิบาท 4 ของเครือข่ายศูนย์โรงเรียนบ้านทวดทอง และ 3) เพื่อนำเสนอและประเมินแนวทางการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์ พลังสิบตามหลักอิทธิบาท 4 ของเครือข่ายศูนย์โรงเรียนบ้านทวดทอง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยมีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้เกี่ยวข้อง 20 คน การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 10 คน และการประชุมสนทนากลุ่มจากผู้ทรงคุณวุฒิ 7 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ สถานศึกษามีทรัพยากรการเรียนรู้ที่ยังไม่เพียงพอต่อผู้เรียน และพื้นฐานและความสนใจที่ต่างกัน ทำให้นักเรียนไม่เห็นความสำคัญในการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันมากนัก อย่างไรก็ตาม ครูพยายามสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา โดยการติดตามและประเมินหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง 2) แนวทางการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบตามหลักอิทธิบาท 4 ประกอบด้วยมาตรฐานด้านทรัพยากรการเรียนรู้ มาตรฐานด้านกระบวนการเรียนรู้และการวัดประเมินผล มาตรฐานด้านหลักสูตร ซึ่งพบว่า กระบวนการดำเนินโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบมีการนำหลักอิทธิบาท 4 ไปประยุกต์ใช้ในทุกขั้นตอนของทั้ง 3 มาตรฐาน และ 3) ผลนำเสนอและประเมินแนวทางการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบตามหลักอิทธิบาท 4 ของเครือข่ายศูนย์โรงเรียนบ้านทวดทอง พบว่า มีความเหมาะสม มีความเป็นไปได้ และมีความเป็นประโยชน์ในการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบของเครือข่ายศูนย์โรงเรียนบ้านทวดทอง</p> สุเนตตรา แก้วขาว, พระครูประโชติกิจจาภรณ์ , บุญเลิศ วีระพรกานต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277235 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความต้องการจำเป็นในการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานกิจการนักเรียน ในโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279130 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันในการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานกิจการนักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2) ศึกษาสภาพพึงประสงค์ในการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานกิจการนักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี และ 3) วิเคราะห์ความต้องการจำเป็นในการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานกิจการนักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นครูผู้สอน จำนวน 310 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นในการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานกิจการนักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี โดยใช้วิธี Priority Needs Index</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานกิจการนักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการใช้ระบบสารสนเทศเพื่องานพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) สภาพที่พึงประสงค์ในการใช้ระบบสารสนเทศในการบริหารงานกิจการนักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการใช้ระบบสารสนเทศเพื่องานพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 3) ความต้องการจำเป็นในการใช้ระบบสารสนเทศในการบริหารงานกิจการนักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี พบว่า มีลำดับความสำคัญ ดังนี้ ลำดับที่ 1 ด้านการใช้ระบบสารสนเทศเพื่องานกิจกรรมนักเรียน ลำดับที่ 2 ด้านระบบสารสนเทศเพื่องานส่งเสริม ประชาธิปไตย ลำดับที่ 3 ด้านการใช้ระบบสารสนเทศเพื่องานจัดบริการแนะแนว ลำดับที่ 4 ด้านการใช้ระบบสารสนเทศเพื่องานควบคุมความประพฤติและระเบียบวินัย และลำดับที่ 5 ด้านการใช้ระบบสารสนเทศเพื่องานพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน</p> วรุณนภา ริณพัฒน์ , ประภาวรรณ ตระกูลเกษมสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279130 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาความเป็นพลเมืองรู้เคารพสิทธิของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตกรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278891 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความเป็นพลเมืองรู้เคารพสิทธิของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองรู้เคารพสิทธิของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี โดยมีขั้นตอนการวิจัย 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาความเป็นพลเมืองรู้เคารพสิทธิของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยการสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 399 คน ที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิและกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Yamane Taro โดยใช้แบบประเมินแบบมาตราประมาณค่า 5 ระดับของลิเคอร์ท วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระยะที่ 2 การศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองรู้เคารพสิทธิ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตกรุงเทพมหานครด้วยการสัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความเป็นพลเมืองรู้เคารพสิทธิของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตกรุงเทพมหานคร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาจำแนกรายด้าน พบว่ามีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านที่ 2 เคารพสิทธิผู้อื่น รองลงมา คือ ด้านที่ 3 เคารพสิทธิสังคม และน้อยที่สุด คือ ด้านที่ 1 เคารพสิทธิตัวเอง 2) แนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองรู้เคารพสิทธิของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตกรุงเทพมหานคร 4 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 การกำหนดเป้าหมายผลลัพธ์การเรียนรู้ มี 3 ประเด็น คือ (1) ผลลัพธ์การเรียนรู้ (2) แนวทางการกำหนดเป้าหมาย และการกำหนดตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ องค์ประกอบที่ 2 การออกแบบเนื้อหา องค์ประกอบที่ 3 การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ องค์ประกอบที่ 4 การออกแบบการวัดและประเมินผล 4 ประเด็น คือ (1) ประเมินตามสภาพจริง (2) การสะท้อนคิดและการประเมินตนเอง (3) เครื่องมือหลากหลาย (4) ประเมินตามศักยภาพและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง</p> พิไลลักษณ์ คำมาระ, อัญชลี ศรีกลชาญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278891 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารงานบุคคลที่เสริมสร้างขวัญและกำลังใจของครู โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279475 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารงานบุคคลที่เสริมสร้างขวัญและกำลังใจของครูโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยายมีประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการซึ่งมีผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 156 คน ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 4 คน ครู จำนวน 152 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม โดยมีการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิและมีค่าความเที่ยงโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาช เท่ากับ 0.985 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI<sub>Modified</sub>)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันในการพัฒนาการบริหารงานบุคคลที่เสริมสร้างขวัญและกำลังใจของครูโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการอยู่ในระดับมาก โดยขอบข่ายการบริหารงานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขวัญและกำลังใจของครู ที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการพัฒนาบุคลากร และต่ำที่สุด คือ ด้านการเลื่อนขั้นและการโยกย้าย สำหรับสภาพที่พึงประสงค์ในการพัฒนาการบริหารงานบุคคลที่เสริมสร้างขวัญและกำลังใจของครูโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการอยู่ในระดับมากที่สุด โดยขอบข่ายที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการพัฒนาบุคลากร และต่ำที่สุด คือ ด้านการเลื่อนขั้นและการโยกย้าย 2) ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารงานบุคคลที่เสริมสร้างขวัญและกำลังใจของครูโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ (PNI<sub>Modified</sub> = 0.280) ขอบข่ายการบริหารงานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขวัญและกำลังใจของครูที่มีค่าดัชนีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด คือ ด้านการเลื่อนขั้นและการโยกย้าย (PNI<sub>Modified</sub> = 0.339) รองลงมา คือ ด้านการจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการ (PNI<sub>Modified</sub> = 0.286) และต่ำที่สุด คือ ด้านการพัฒนาบุคลากร (PNI<sub>Modified</sub> = 0.215)</p> ณัฏฐา คงปรีชา, นันทรัตน์ เจริญกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279475 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การบริหารงานสัมพันธ์ชุมชนตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของโรงเรียนบ้านชะอวด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277199 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานสัมพันธ์ชุมชนของโรงเรียนบ้านชะอวด 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานสัมพันธ์ชุมชนตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของโรงเรียนบ้านชะอวด และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการบริหารงานสัมพันธ์ชุมชนตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของโรงเรียนบ้านชะอวด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 เป็นการวิจัยแบบเชิงคุณภาพโดยมีขั้นตอนการวิจัย 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพการบริหารงานสัมพันธ์ชุมชนของสถานศึกษาโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เกี่ยวข้อง 15 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาแนวทางการบริหารงานสัมพันธ์ชุมชนตามหลักสังคหวัตถุ 4 โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ 5 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ตอนที่ 3 นำเสนอแนวทางการบริหารงานสัมพันธ์ชุมชนตามหลักสังคหวัตถุ 4 โดยการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารงานสัมพันธ์ชุมชน พบว่า การดำเนินงานของสถานศึกษาไม่มีการเสนอความคิดเห็น หารือ สะท้อนถึงปัญหา จุดเด่น จุดที่ควรพัฒนาของการดำเนินงานบริหารงานสัมพันธ์ชุมชน ทำให้ไม่ได้พัฒนาการดำเนินงานสัมพันธ์ชุมชน การจัดการบริหารได้อย่างเต็มที่ ซึ่งการบริหารงานสัมพันธ์ชุมชนต้องอาศัยความร่วมมือและการประสานงานของผู้บริหาร ครู ชุมชนและบุคลากรที่เกี่ยวข้องเพื่อมุ่งเน้นการปรับปรุง แนะนำ ส่งเสริม พัฒนา และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่สถานศึกษากำหนดอย่างเป็นระบบตามขั้นตอน ซึ่งประกอบกระบวนการการบริหารงานสัมพันธ์ชุมชน คือ (1) การให้บริการชุมชน (2) การประชาสัมพันธ์ (3) การเสริมสร้างความสัมพันธ์กับหน่วยงานอื่น (4) การได้รับการสนับสนุนจากชุมชน 2) แนวทางการบริหารงานสัมพันธ์ชุมชน 4 องค์ประกอบกับหลักสังคหวัตถุ 4 มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน ซึ่งประกอบด้วย (1) ทาน การให้ (2) ปิยวาจา พูดจาสุภาพไพเราะ (3) อัตถจริยา ประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น (4) สมานัตตตา การวางตนให้เหมาะสมเสมอตันเสมอปลาย และ 3) การนำเสนอแนวทางการบริหารงานสัมพันธ์ชุมชนตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของโรงเรียนบ้านชะอวด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 พบว่า มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ในการบริหารงานสัมพันธ์ชุมชนของโรงเรียนบ้าน</p> ปรางทิพย์ พรหมปลอด , พระครูพิจิตรศุภการ , มะลิวัลย์ โยธารักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277199 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิดออกแบบในบริบทการนิเทศของครูพี่เลี้ยง ที่มีต่อกรอบคิดติดยึดด้านการคิดออกแบบของนักศึกษาครูวิทยาศาสตร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279340 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากรอบคิดติดยึดด้านการคิดออกแบบของนักศึกษาครูวิทยาศาสตร์ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิดออกแบบในบริบทการนิเทศ และ 2) เปรียบเทียบระดับกรอบคิดติดยึดก่อนและหลังการจัดกิจกรรม กลุ่มเป้าหมายคือ นักศึกษาครูสาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไปชั้นปีที่ 4 จำนวน 4 คน ซึ่งกำลังฝึกประสบการณ์วิชาชีพในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แผนกิจกรรมการเรียนรู้ตามกระบวนการคิดออกแบบ และแบบประเมินกรอบคิดติดยึดด้านการคิดออกแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและคะแนนการพัฒนาเชิงสัมพัทธ์ (G Score)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิดออกแบบในบริบทการนิเทศของครูพี่เลี้ยงสามารถพัฒนากรอบคิดติดยึดด้านการคิดออกแบบของนักศึกษาครูวิทยาศาสตร์ได้ โดยเฉพาะในมิติความเชื่อในความร่วมมือและการมองโลกในแง่ดีที่เพิ่มขึ้นจนเต็มศักยภาพ 2) กรอบคิดติดยึดด้านการคิดออกแบบของนักศึกษาครูวิทยาศาสตร์หลังเข้าร่วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมทุกมิติ โดยมีค่า G Score เท่ากับ 1.0</p> ศราวุธ รามศรี, สลา สามิภักดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279340 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278723 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ 2) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ และ <br />3) เพื่อศึกษาแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี เริ่มต้นจากการวิจัยเชิงปริมาณ และตามด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีวิจัยเอกสารและสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญนำมาวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปตามวัตถุประสงค์การวิจัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2) สภาพปัญหา อุปสรรคของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติด ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) แนวทางการส่งเสริมการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ประกอบด้วย (1) แนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ควรส่งเสริมการสรรหาบุคลากรเข้ามาเป็นจิตอาสา การสรรหาบุคลากรเข้ามาดำเนินกิจกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด สนับสนุนให้คนในชุมชนมามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นหาทองออกด้วยกัน (2) แนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ ควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมสนับสนุนให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ การสอดส่องดูแลความเรียบร้อย การแจ้งเบาะแสผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด รณรงค์ให้ความรู้กับประชาชนในพื้นที่ (3) แนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ ควรส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ให้ความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ส่งเสริมในเรื่องคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน การนำกฎหมายมาบังคับใช้อย่างจริงจังในการดำเนินกิจกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ และ (4) แนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการประเมินผล ควรส่งเสริมให้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น เสนอแนะแนวทางการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติด ประชาสัมพันธ์ให้ทราบผลการดำเนินการในกิจกรรม ควรมีการดำเนินการแจ้งผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนให้มีการติดตามการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชนในพื้นที่ควรเข้าไปมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดำเนินโครงการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดรวมถึงจัดทำแบบสำรวจความพึงพอใจในกิจกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่</p> ธันยาภัทร์ นีลธรรมโรจน์, ปณณธร หอมบุญมา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278723 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถการอ่านเชิงวิเคราะห์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน ร่วมกับ 5W1H https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278484 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการอ่านเชิงวิเคราะห์ก่อนและหลังเรียน โดยใช้เกมเป็นฐานร่วมกับ 5W1H เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านเชิงวิเคราะห์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน ร่วมกับ5W1H โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานร่วมกับ 5W1H โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงทดลองแบบ One-Group Pretest-Posttest Design ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนปางมะค่าวิทยาคม 1 ห้องเรียน จำนวน 56 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 1 ห้องเรียน จำนวน 25 คน โดยวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้การพัฒนาความสามารถการอ่านเชิงวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้เกมเป็นฐาน ร่วมกับ5W1H 2) แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านเชิงวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน ร่วมกับ 5W1H วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t-test dependent</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบความสามารถการอ่านเชิงวิเคราะห์ พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 11.97, p = 0.000) โดยผลต่างค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 8.32 2) ผลความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน ร่วมกับ5W1H โดยภาพรวม พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมาก</p> วันวิภา ภู่จีน , กาญจนา วิชญาปกรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278484 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ในองค์กรตามหลักสาราณียธรรม 6 ของโรงเรียน ในสหวิทยาเขตทุ่งใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช. https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277400 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพมนุษยสัมพันธ์ในองค์กรของโรงเรียนในสหวิทยาเขตทุ่งใหญ่ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ในองค์กร ตามหลักสาราณียธรรม 6 ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตทุ่งใหญ่ 3) เพื่อนำเสนอและประเมินแนวทางการเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ในองค์กร ตามหลักสาราณียธรรม 6 ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตทุ่งใหญ่ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน 15 คน สัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 รูป/คน การสนทนากลุ่ม ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 7 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ แบบประเมินการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ในองค์กรยังไม่เป็นระบบโดยการสื่อสารไม่ชัดเจนและการทำงานร่วมกันขาดความต่อเนื่อง บุคลากรไม่ได้แสดงความคิดเห็นหรือรับฟังความคิดเห็นจากกันและกัน รวมถึงสภาพแวดล้อมทั้งด้านสุขภาพกายและจิตยังไม่ดีเท่าที่ควร การเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ในองค์กรจึงจำเป็นต้องมีการวางแผนและดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาให้ยั่งยืน 2) แนวทางการเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ในองค์กรตามหลักสาราณียธรรม 6 ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตทุ่งใหญ่ ประกอบด้วย (1) การเข้าใจตนเอง (2) การเข้าใจบุคคลอื่น (3) การเข้าใจสิ่งแวดล้อมกับหลักสาราณียธรรม 6 โดยมีขั้นตอนการดำเนินการ ประกอบด้วยการวางแผนการสร้างองค์ความรู้ การจัดกิจกรรมเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ในองค์กร และการติดตามและประเมินผล 3) การนำเสนอและประเมินแนวทางการเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ในองค์กรตามหลักสาราณียธรรม 6 ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตทุ่งใหญ่ พบว่า มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในการเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ในองค์กร</p> สายฝน จันทร์ศรีนวล , พระครูเขมธรรมโฆษิต , บุญเลิศ วีระพรกานต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277400 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารายวิชาภูมิศาสตร์ที่ส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279325 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารายวิชาภูมิศาสตร์ที่ที่ส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลกระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) เพื่อประเมินคุณภาพรายวิชาภูมิศาสตร์ที่ส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลกระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยขั้นตอนการวิจัยเริ่มจากการสร้างองค์ความรู้ที่ถูกต้องกับคณะครูที่เป็นผู้วิจัยร่วม จากนั้นร่วมกันพัฒนารายวิชา จัดทำโครงสร้างรายวิชา ออกแบบและพัฒนาหน่วยการเรียนรู้ กำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อเพื่อการเรียนรู้ ภาระงานและการประเมินที่สอดคล้องกับคุณลักษณะความเป็นพลเมืองโลก เมื่อจัดทำสื่อรายวิชาเสร็จแล้วจึงดำเนินการสอบทานคุณภาพรายวิชาโดยผู้ทรงคุณวุฒิผ่านกระบวนการสนทนากลุ่ม แล้วปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ ขณะที่ขั้นตอนของการประเมินคุณภาพรายวิชา ได้ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและนักวิชาการในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 25 คน พิจารณาถึงความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และประโยชน์ของรายวิชาที่พัฒนาขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำผลการประเมินคุณภาพรายวิชาจากมีส่วนได้ส่วนเสียและนักวิชาการในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 25 คน มาคำนวณหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากนั้นนำผลที่ได้ไปแปลความหมายตามระดับคุณภาพที่กำหนดไว้</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนารายวิชาภูมิศาสตร์ที่ส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลกระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย นั้นประกอบด้วย 5 หน่วยการเรียนรู้ ที่สัมพันธ์กับประเด็นระดับโลกใน 5 มิติ ซึ่งแต่ละหน่วยการเรียนรู้มีการกำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ที่บูรณาการคุณลักษณะความเป็นพลเมืองโลก กับมโนทัศน์สำคัญทางภูมิศาสตร์ที่ระบุไว้ในมาตรฐานและตัวชี้วัดอย่างสอดคล้องและสัมพันธ์กัน 2) ผลประเมินคุณภาพรายวิชาภูมิศาสตร์ที่ส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลกระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายอยู่ในระดับมีคุณภาพมากที่สุด</p> สิริณัฐ เวชกามา , ศุภณัฐ พานา , นาตยา ปิลันธนานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279325 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การสร้างสื่อแอนิเมชันประกอบการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง คลื่นและแสง เพื่อส่งเสริมความเข้าใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278250 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างสื่อแอนิเมชันประกอบการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง คลื่นและแสง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> ตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาความเข้าใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง คลื่นและแสง ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อแอนิเมชันประกอบการเรียนก่อนและหลังเรียน 3) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจต่อสื่อแอนิเมชันประกอบการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง คลื่นและแสง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีกลุ่มตัวอย่างการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดท้องคุ้ง“ไพโรจน์ประชาสรรค์” ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน โดยการสุ่มห้องเรียนโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สื่อแอนิเมชันประกอบการเรียน แผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ แบบวัดความเข้าใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ และแบบวัดความพึงพอใจต่อสื่อแอนิเมชันประกอบการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง คลื่นและแสง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2 </sub>การทดสอบทีแบบสองกลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของสื่อแอนิเมชันประกอบการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง คลื่นและแสง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 88.36/85.17 2) ผลการศึกษาคะแนนความเข้าใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง คลื่นและแสง ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 17.42 และหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 34.02 คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนต่อสื่อแอนิเมชันประกอบการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง คลื่นและแสง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> เพ็ญพิมล บุญชู, เชษฐ์ ศิริสวัสดิ์, กิตติมา พันธ์พฤกษา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278250 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักวุฒิธรรม 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา ในอำเภอชะอวด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278189 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักวุฒิธรรม 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา และ <br />3) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักวุฒิธรรม 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอชะอวด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 เป็นการวิจัยแบบเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้เกี่ยวข้อง 15 คน การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่างแนวทาง 5 คน และผู้ทรงคุณวุฒิในการสนทนากลุ่ม 7 คน เพื่อประเมินความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความเป็นประโยชน์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอชะอวด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราชเขต 3 พบว่า ด้านการมีจิตนาการ ผู้บริหารเสริมสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมการทำงานร่วมกัน เปิดโอกาสให้ครูแสดงความคิดเห็นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ แต่พบอุปสรรคการดำเนินงานล่าช้าและขาดความชัดเจน ทำให้เกิดความไม่มั่นใจและความขัดแย้ง ด้านการมีความยืดหยุ่น ผู้บริหารรับฟังความคิดเห็นและเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่สร้างสรรค์ แต่ยังพบปัญหาความล่าช้า การต่อต้าน และขาดการสนับสนุนจากบุคลากร ด้านการมีวิสัยทัศน์ ผู้บริหารตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเปิดโอกาสให้บุคลากรมีส่วนร่วม แต่ยังพบอุปสรรคจากการขาดความเข้าใจและทรัพยากรไม่เพียงพอ ด้านการไว้วางใจ ผู้บริหารยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างและส่งเสริมการทำงานอย่างยุติธรรม แต่ยังพบปัญหาการขาดความชัดเจน ทำให้เกิดความสับสนและไม่มั่นใจ ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ ผู้บริหารสนับสนุนการเสริมสร้างทักษะและการทำงานเป็นทีม แต่ยังพบการขัดแย้งจากบุคลากรที่ต่อต้านความคิดสร้างสรรค์ 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักวุฒิธรรม 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอชะอวด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราชเขต 3 ประกอบด้วย (1) การมีจินตนาการ (2) การมีความยืดหยุ่น (3) การมีวิสัยทัศน์ (4) การไว้วางใจ (5) การมีความคิดสร้างสรรค์ โดยประยุกต์ใช้หลักวุฒิธรรม 4 ประกอบด้วย (1) สัปปุริสสังเสวะ (การคบหาสัตบุรุษ) (2) สัทธัมมัสสวนะ (การสดับสัทธรรม) (3) โยนิโสมนสิการ (การทำในใจโดยแยบคาย) (4) ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม) และ 3) การนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักวุฒิธรรม 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอชะอวด พบว่า มีความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความเป็นประโยชน์ในการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาของสถานศึกษา</p> เสาวภา แจ่มจรัสศรีสิริ , พระครูสุเมธปริยัติคุณ , กษมา ศรีสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278189 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง แรงและพลังงาน โดยการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานบูรณาการกับผังมโนทัศน์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278943 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน บูรณาการกับผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง แรงและพลังงาน ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานบูรณาการกับผังมโนทัศน์ 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานบูรณาการกับผังมโนทัศน์ และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานบูรณาการกับผังมโนทัศน์ โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านพังโคน (จำปาสามัคคีวิทยา) จำนวน 40 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าทีแบบกลุ่มที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานบูรณาการกับผังมโนทัศน์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง แรงและพลังงาน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.47/80.46 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้ 2) ทักษะการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานบูรณาการกับผังมโนทัศน์อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ภูมัย อัคพิน, หรรษกร วรรธนะสาร , อนันต์ ปานศุภวัชร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278943 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษาร่วมกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ที่มีต่อเจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277807 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังจากที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษา (STEAM Education) ร่วมกับการใช้สื่อออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนโนนสูงศรีธานี สังกัดสำนักงาน<br />เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา นครราชสีมา จำนวน 34 คน ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ได้จากการสุ่มอย่างง่าย (Random sampling) โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษา (STEAM Education) ร่วมกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์ 2) แบบวัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษา (STEAM Education) ร่วมกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์ สูงขึ้นกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ณัฐฐินี ขันทะสีมา, บุญฤดี อุดมผล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277807 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการเรียนรู้ตามหลักพหูสูต 5 ของครูโรงเรียนบ้านชะอวด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278764 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการเรียนรู้ ของครูโรงเรียนบ้านชะอวด 2) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการเรียนรู้ ตามหลักพหูสูต 5 ของครูโรงเรียนบ้านชะอวด และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการเรียนรู้ ตามหลักพหูสูต 5 ของครูโรงเรียนบ้านชะอวด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เกี่ยวข้อง 15 คน การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่างคู่มือ 5 คน และสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน เพื่อประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ วิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการเรียนรู้ ของครูโรงเรียนบ้านชะอวด พบว่า การส่งเสริมและพัฒนาครู กำหนดวัตถุประสงค์การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการเรียนรู้ และก้าวทันต่อยุคปัจจุบัน แต่ครูไม่เข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ครูไม่ได้เข้ารับการอบรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้อย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้งและไม่ให้ความสนใจการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการเรียนรู้ 2) แนวทางการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการเรียนรู้ ตามหลักพหูสูต 5 ของครูโรงเรียนบ้านชะอวด ได้แก่ (1) การกำหนดนโยบาย (2) การจัดสรรทรัพยากรสนับสนุน (3) การพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (4) การส่งเสริม สนับสนุน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (5) การกำกับ ติดตาม และประเมินผล โดยการประยุกต์ใช้หลักพหูสูต 5 ประกอบด้วย (1) พหุสฺสตา ฟังมาก (2) ธตา จำได้ (3) วาจา ปริจิตา ท่องให้คล่องปาก (4) มนสานุเปกฺขิตา เพ่งให้ขึ้นใจจนสามารถสร้างภาพพจน์ขึ้นในใจ (5) ทิฎฺฐิยา สปุฎิวิทฺธา ขบให้แตกด้วยทฤษฎี 3) การนำเสนอแนวทางการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการเรียนรู้ ตามหลักพหูสูต 5 ของครูโรงเรียนบ้านชะอวด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 พบว่า เหมาะสม เป็นไปได้ เป็นประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลตามหลักพหูสูต 5 ของสถานศึกษา</p> สันติภาพ พุทธิเนตร, พระครูพิจิตรศุภการ , มะลิวัลย์ โยธารักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278764 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารกับคุณภาพชีวิตในการทำงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278600 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี 2) ศึกษาคุณภาพชีวิตในการทำงานของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับคุณภาพชีวิตในการทำงานของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี จำนวน 19 แห่ง กำหนดผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 6 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 1 คน รองผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือผู้ช่วยผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 1 คน หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ จำนวน 1 คน และครู จำนวน 3 คน รวมผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 114 คน เครื่องมือที่ใช้วิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม ตามแนวคิดของเมตคาล์ฟ (Metcalf) กับคุณภาพชีวิตในการทำงานตามแนวคิดของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) คุณภาพชีวิตในการทำงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับคุณภาพชีวิตในการทำงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ธัญพร กล่อมสกุล, วรกาญจน์ สุขสดเขียว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278600 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การบริหารจัดการสถานศึกษากับคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278591 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) การบริหารจัดการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 2) คุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารจัดการสถานศึกษากับคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 กลุ่มตัวอย่างคือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 จำนวน 101 แห่ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการสถานศึกษา และคุณภาพผู้เรียน ตามแนวคิดของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต <br />ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารจัดการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 อยู่ในระดับมาก 2) คุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 อยู่ในระดับมาก 3) การบริหารจัดการสถานศึกษากับคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 มีความสัมพันธ์ลักษณะคล้อยตามกัน ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r<sub>xy </sub>= 0.659)</p> ภัสราภรณ์ ลีลาเลิศ, นุชนรา รัตนศิระประภา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278591 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การประเมินโครงการหนูน้อยวัยใส ใส่ใจความดี โรงเรียนวัดมุขธารา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278182 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินระบบโครงการ (System Assessment) ประเมินการวางแผนโครงการ (Program Planning) ประเมินการนำไปใช้เพื่อการดำเนินโครงการ (Program Implementation) ประเมินการปรับปรุงโครงการ (Program Improvement) และประเมินการยอมรับโครงการ (Program Certification) หนูน้อยวัยใส ใส่ใจความดี โรงเรียนวัดมุขธารา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหาร ครู โรงเรียนวัดมุขธารา จำนวน 20 คน นักเรียน ผู้ปกครอง โรงเรียนวัดมุขธารา จำนวน 185 คน รวม 205 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 แบบสอบถาม จำนวน 3 ฉบับ ฉบับที่ 1 แบบสอบถามด้านการประเมินระบบโครงการ และการวางแผนโครงการ ฉบับที่ 2 แบบสอบถามด้านการประเมินการนำไปใช้ ด้านการปรับปรุงโครงการ ฉบับที่ 3 แบบสอบถามด้านการประเมินเพื่อการยอมรับโครงการ ส่วนที่ 2 แบบสัมภาษณ์เชิงลึก</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การประเมินโครงการหนูน้อยวัยใส ใส่ใจความดี โรงเรียนวัดมุขธารา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ประเมินระบบของโครงการหนูน้อยวัยใส ใส่ความดี โรงเรียนวัดมุขธารา โดยรวมมีความเหมาะสมระดับมากที่สุด ส่วนที่ 2 ประเมินการวางแผนโครงการโดยรวมมีความเหมาะสมระดับมากที่สุด ส่วนที่ 3 ประเมินการนำไปใช้ของโครงการหนูน้อยวันใส ใส่ใจความดี โรงเรียนวัดมุขธาราโดยรวมมีความเหมาะสมระดับมากที่สุด ส่วนที่ 4 ประเมินการปรับปรุงโครงการหนูน้อยวัยใส ใส่ใจความดี ได้แก่ ควรเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้น่าสนใจ ปรับปรุงการบันทึกคะแนนโดยใช้ระบบออนไลน์ ลดภาระครู ให้คะแนนอย่างเป็นธรรม มีกติกาชัดเจน เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนได้รับคะแนน ขยายผลสู่ครอบครัวให้พ่อแม่ร่วมสนับสนุน เช่น ให้คะแนนจากการช่วยงานบ้าน และส่วนที่ 5 ประเมินการยอมรับโครงการ โดยรวมมีความพึงพอใจผ่านเกณฑ์ทุกรายการประเมิน</p> ณัฐธีรา แก้วแกมทอง, นิลรัตน์ นวกิจไพฑูรย์ , วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278182 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาคุณลักษณะจิตอาสาด้วยกิจกรรมลูกเสือโรงเรียนบ้านปลายศอก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277215 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพคุณลักษณะด้านจิตอาสานักเรียนโรงเรียนบ้านปลายศอก 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณลักษณะด้านจิตอาสาด้วยกิจกรรมลูกเสือโรงเรียนบ้านปลายศอก และ 3) เพื่อนำเสนอและประเมินแนวทางการพัฒนาคุณลักษณะจิตอาสาด้วยกิจกรรมลูกเสือโรงเรียนบ้านปลายศอก เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน 15 คน สัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน การสนทนากลุ่ม ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ แบบประเมินการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพคุณลักษณะด้านจิตอาสานักเรียนโรงเรียนบ้านปลายศอก 5 องค์ประกอบ (1) กตัญญูกตเวที มีนักเรียนบางส่วนจะต้องได้รับการร้องขอหรือมอบหมายงานให้จึงจะช่วยเหลือ (2) การช่วยเหลือผู้อื่น มีนักเรียนบางส่วนที่จะต้องร้องขอการช่วยเหลือหรือต้องใช้การออกคำสั่งจึงจะมีการช่วยเหลือ (3) การแบ่งปันมีนักเรียนบางส่วนที่ไม่มีการแบ่งปันสิ่งของให้กับผู้อื่น หรือแบ่งปันเฉพาะกลุ่มของตัวเองเท่านั้น (4) การดูแลทรัพย์สินส่วนรวม มีนักเรียนบางส่วนใช้สิ่งของส่วนร่วม ไม่ระมัดระวัง ไม่ทะนุถนอม ใช้งานแล้วไม่เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย 5) การเข้าร่วมกิจกรรม นักเรียนมีการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นประจำ ผ่านโครงการหรือกิจกรรมของโรงเรียนหรือหน่วยงานอื่นที่จัดขึ้นที่เป็นประโยชน์ต่อโรงเรียน ชุมชนและสังคม แต่ถ้าหากเป็นการจัดกิจกรรมแบบเดิมที่มีการบรรยายความรู้ ให้นักเรียนนั่งอยู่กับที่จะทำให้นักเรียนเบื่อหน่ายและไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรม 2) แนวทางการพัฒนาคุณลักษณะด้านจิตอาสาด้วยกิจกรรมลูกเสือโรงเรียนบ้านปลายศอก มีองค์ประกอบดังนี้ 1) ชื่อเรื่อง 2) หลักการและเหตุผล 3) วัตถุประสงค์ของแนวทาง 4) แนวทางการดำเนินงาน และ 5) การติดตามและประเมินผล โดยแนวทางประกอบด้วย คุณลักษณะจิตอาสา 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) กตัญญู กตเวที 2) ช่วยเหลือผู้อื่น 3) แบ่งปัน 4) ดูแลทรัพย์สินส่วนรวม 5) เข้าร่วมกิจกรรม และกิจกรรมลูกเสือ 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การจัดกิจกรรมลูกเสือของสถานศึกษายึดหลักสูตร 2) กิจกรรมพิธีการของลูกเสือ 3) กิจกรรมวิชาพิเศษลูกเสือ 4) กิจกรรมเดินทางไกลและแรมคืน และ 3) การนำเสนอและประเมินแนวทางการพัฒนาคุณลักษณะจิตอาสาด้วยกิจกรรมลูกเสือโรงเรียนบ้านปลายศอก พบว่า มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในการพัฒนาคุณลักษณะจิตอาสาด้วยกิจกรรมลูกเสือ</p> สุพัฒชัย ฤทธิเดช, พระครูเขมธรรมโฆษิต , บุญเลิศ วีระพรกานต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277215 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 สมรรถนะของผู้บริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278135 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อทราบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 2) เพื่อทราบประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 3) เพื่อทราบความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะของผู้บริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา โดยมีขั้นตอนการดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การจัดเตรียมโครงการวิจัย ขั้นที่ 2 การดำเนินการวิจัย และขั้นที่ 3 การรายงานผลการวิจัย โดยมีแผนแบบการวิจัยลักษณะกลุ่มตัวอย่างเดียวศึกษาสภาวการณ์ไม่มีการทดลอง ใช้สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 จำนวน 108 แห่ง เป็นหน่วยวิเคราะห์ ผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 2 คน ประกอบไปด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 1 คน และครู จำนวน 1 คน รวมผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 216 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสมรรถนะผู้บริหารตามแนวคิดของ Hellriegel, Jackson, and Slocum และประสิทธิผลของสถานศึกษาตามแนวคิดของ Lunenburg and Ornstein สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก 3) สมรรถนะของผู้บริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยเป็นความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงและมีลักษณะคล้อยตามกัน</p> วรรฤดี เฉลยจรรยา , สงวน อินทร์รักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278135 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาคู่มือการดำเนินงานระบบสารสนเทศเพื่อการส่งเสริมงานบริหารกิจการนักเรียน ของโรงเรียนเกาะสมุย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278053 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานกิจการนักเรียนของโรงเรียนเกาะสมุย 2) เพื่อพัฒนาคู่มือการดำเนินงานระบบสารสนเทศเพื่อการส่งเสริมงานบริหารกิจการนักเรียนของโรงเรียนเกาะสมุย และ 3) เพื่อนำเสนอการใช้คู่มือการดำเนินงานระบบสารสนเทศเพื่อการส่งเสริมงานบริหารกิจการนักเรียนของโรงเรียนเกาะสมุย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เกี่ยวข้อง 15 คน การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่างแนวทาง 5 คน และสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน เพื่อประเมินความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความเป็นประโยชน์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารงานกิจการนักเรียนของโรงเรียนเกาะสมุย ถูกจัดอยู่ในพื้นที่ลักษณะพิเศษ ส่งผลให้มีการโยกย้ายบุคลากรอย่างต่อเนื่อง และต้องมีการจัดสรรบุคลากรใหม่เพื่อเติมเต็มตำแหน่งว่าง โดยเฉพาะในฝ่ายบริหารงานกิจการนักเรียน ซึ่งมีหน้าที่ดูแล ติดตาม และช่วยเหลือนักเรียนในด้านแนะแนว กิจกรรม ปกครอง และสวัสดิการ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบุคลากรบ่อยครั้ง ทำให้การดำเนินงานขาดความต่อเนื่องและเกิดความล่าช้า ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการบริหารงานกิจการนักเรียน ซึ่งยังไม่ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร 2) คู่มือการดำเนินงานระบบสารสนเทศเพื่อการส่งเสริมงานบริหารกิจการนักเรียนของโรงเรียนเกาะสมุย ประกอบด้วย (1) งานแนะแนว (2) งานกิจกรรมนักเรียน (3) งานปกครอง (4) งานสวัสดิการนักเรียน ซึ่งทั้ง 4 ด้านได้มีการจัดระบบสารสนเทศในการบริหารงานกิจการนักเรียนอย่างเป็นขั้นตอน คือ การเก็บรวบรวมข้อมูล การตรวจสอบข้อมูล การประมวลผลข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ การนำเสนอข้อมูลสารสนเทศ และการนำข้อมูลสารสนเทศไปใช้ และ 3) การนำเสนอการใช้คู่มือการดำเนินงานระบบสารสนเทศเพื่อการส่งเสริมงานบริหารกิจการนักเรียนของโรงเรียนเกาะสมุย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร พบว่ามีความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมงานบริหารกิจการนักเรียนของโรงเรียนเกาะสมุย</p> พัชรินทร์ หนูพระอินทร์, มะลิวัลย์ โยธารักษ์ , ปรีชา สามัคคี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278053 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารจัดการหลักสูตรในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278249 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) การตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 2) การบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจของผู้บริหารกับการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 จำนวน 103 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 2 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 1 คน และครู จำนวน 1 คน รวมผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 206 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษาของการ์ดอน และการบริหารจัดการหลักสูตรในสถานศึกษาตามแนวคิดของสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อยดังนี้ การค้นหาทางเลือก การวิเคราะห์สถานการณ์ การประเมินการตัดสินใจ การตัดสินใจ การกำหนดวัตถุประสงค์ และการประเมินทางเลือก ตามลำดับ 2) การบริหารจัดการหลักสูตรในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อยดังนี้ การวางแผนดำเนินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา การสรุปผลการดำเนินงานและการเขียนรายงาน การนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผล การปรับปรุงและพัฒนากระบวนการบริหารจัดการหลักสูตร การดำเนินการบริหารจัดการหลักสูตร การเตรียมความพร้อมของสถานศึกษา ตามลำดับ 3) การตัดสินใจของผู้บริหารกับการบริหารจัดการหลักสูตรในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ในระดับสูง มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r<sub>xy </sub>= 0.871)</p> ศิรประภา อัคราภิชาต , นุชนรา รัตนศิระประภา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278249 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ตามหลักพละ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มเครือข่าย 5 ลานสกา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277821 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ตามหลักพละ 4 และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ตามหลักพละ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มเครือข่าย 5 ลานสกา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 เป็นการวิจัยแบบเชิงคุณภาพ โดยมีขั้นตอนการวิจัย 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เกี่ยวข้อง 15 คน ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาแนวทางทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ตามหลักพละ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มเครือข่าย 5 ลานสกา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ตามหลักพพละ4 ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่างแนวทาง 5 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาตามแบบสัมภาษณ์ ขั้นตอนที่ 3 นำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ตามหลักพละ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาโดยการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน เพื่อความเหมาะสม ประเมินความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาตามแนวคําถามสำหรับการสนทนากลุ่ม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มเครือข่าย 5 ลานสกา พบว่า การดำเนินงานของสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ บุคลากรส่วนใหญ่ไม่เข้าใจแนวทางที่กำหนดและขาดการมีส่วนร่วม กลยุทธ์ที่ใช้ยังคงยึดแนวทางเดิมจากปีก่อนโดยไม่มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน คุณลักษณะของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ (1) การกำหนดทิศทางขององค์กร (2) การปฏิบัติอย่างมีคุณธรรม (3) การกำหนดกลยุทธ์ (4) การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ (5) การควบคุมและประเมินกลยุทธ์ 2) แนวทางการการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา 5 องค์ประกอบกับหลักพละ 4 มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน ประกอบด้วย (1) ปัญญาพละ ความรู้ความฉลาด (2) วิริยพละ ความเพียรพยายาม (3) อนวัชชพละ ความซื่อสัตย์สุจริต ความยุติธรรม (4) สังคหพละ ความมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี และ 3) การนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ตามหลักพละ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มเครือข่าย 5 ลานสกา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 โดยการสนทนากลุ่มด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน พบว่า มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความเป็นประโยชน์ในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ตามหลักพละ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา</p> กชกร เกลี้ยงส่ง, พระครูสุเมธปริยัติคุณ , กษมา ศรีสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277821 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนด้วยกิจกรรมลูกเสือ โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277945 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพวินัยในตนเองของนักเรียน โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนด้วยกิจกรรมลูกเสือ โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนด้วยกิจกรรมลูกเสือ โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 15 คน การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน และการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน มีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ แบบการสนทนากลุ่ม ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพวินัยในตนเองของนักเรียนโรงเรียนวัดพระมหาธาตุ มุ่งเน้นคุณลักษณะสำคัญ ประกอบด้วยความอดทน ความรับผิดชอบ ความตั้งใจจริง ความเชื่อมั่นในตนเอง ความเป็นผู้นำ ความมุ่งมั่น ความซื่อสัตย์ มีปัญหาที่พบคือโรงเรียนมีนักเรียนมากเกินพื้นที่ที่รองรับได้ เกิดความแออัด ครูดูแลไม่ทั่วถึง ทำให้ควบคุมพฤติกรรมของนักเรียนได้ยาก สื่อเทคโนโลยีโซเชียลที่ไม่มีการกลั่นกรอง เด็กเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม 2) แนวทางการพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนด้วยกิจกรรมลูกเสือโรงเรียนวัดพระมหาธาตุ ประกอบด้วยความอดทน ความรับผิดชอบ ความตั้งใจจริง ความเชื่อมั่นในตนเอง ความเป็นผู้นำ ความมุ่งมั่น ความซื่อสัตย์ โดยบูรณาการกับกิจกรรมการลูกเสือโดยมีขั้นตอนการดำเนินการ ประกอบด้วยการวางแผน การดำเนินงาน การติดตาม การพัฒนาปรับปรุง และ 3) การนำเสนอแนวทางการพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนด้วยกิจกรรมลูกเสือ โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ พบว่ามีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในการพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนด้วยกิจกรรมลูกเสือในโรงเรียนวัดพระมหาธาตุได้เป็นอย่างดี</p> กฤตติยาพร เพชรชนะ , พระครูสุเมธปริยัติคุณ , กษมา ศรีสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277945 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 Learning Space : การพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ของเยาวชนในจังหวัดนนทบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278694 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อถอดบทเรียน Learning Space พื้นที่การเรียนรู้ต้นแบบในสังคมไทย 2) เพื่อพัฒนา Learning Space พื้นที่การเรียนรู้ด้วยตนเองของเยาวชนในจังหวัดนนทบุรี และ 3) เพื่อสร้างเครือข่าย Learning Space พื้นที่การเรียนรู้ด้วยตนเองของเยาวชนในจังหวัดนนทบุรี <br />โดยมีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้บริหาร ครู ผู้บริหารศูนย์เยาวชน และผู้นำชุมชน Learning Space ต้นแบบ ณ โรงเรียนรุ่งอรุณ และศูนย์พัฒนาการแพทย์แผนไทยปัญญาวัฒน์ จำนวน 15 รูป/คน และเยาวชน และผู้มาใช้บริการคลินิกแพทย์แผนไทยวัดจันทร์ จำนวน 95 คน การสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 คน และเครื่องวิจัยคือแบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประชุมสนทนากลุ่มย่อย</p> <p>สรุปผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการถอดบทเรียน Learning Space พื้นที่การเรียนรู้ต้นแบบในสังคมไทย จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ รุ่งอรุณ ZERO WASTE ของโรงเรียนรุ่งอรุณ เป็นต้นแบบของการฝึกให้เด็กและเยาวชนไปลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง สร้างความเป็นระเบียบวินัย เน้นให้เด็กและเยาวชนได้ฝึกฝนตนเองเพื่อให้เกิดการคิดวิเคราะห์ และหาวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ สามารถอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้อย่างมีความสุข และสามารถพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาในการจัดการขยะต่อไปได้ และศูนย์พัฒนาการแพทย์แผนไทยปัญญาวัฒน์ เป็นต้นแบบของการฝึกให้เด็กและเยาวชนร่วมกันอนุรักษ์ รักษา และต่อยอดของการนวดตามแบบฉบับแพทย์แผนไทย ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่มีมาตั้งแต่อดีต เด็ก เยาวชน เกิดสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี สร้างฮอร์โมนการเจริญเติบโต สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นที่แตกต่างจากตัวเอง เพื่อให้งานประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ตลอดถึงสามารถศึกษา ปฏิบัติ พัฒนา ต่อยอดองค์ความรู้นำไปบูรณาการปรับใช้ในชีวิตประจำวันต่อยอดสร้างเป็นอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ จากการศึกษา Learning Space พื้นที่การเรียนรู้ต้นแบบในสังคมไทย ทั้ง 2 แห่งเพื่อเป็นองค์ความรู้นำไปพัฒนา Learning Space พื้นที่การเรียนรู้ด้วยตนเองของเยาวชนในจังหวัดนนทบุรี 2) การพัฒนา Learning Space พื้นที่การเรียนรู้ด้วยตนเองของเยาวชนในจังหวัดนนทบุรี ผู้วิจัยได้ร่วมกับคณะกรรมการของวัดและผู้ที่เชี่ยวชาญและมีทักษะการนวดแบบแพทย์แผนไทยเพื่อนำไปพัฒนาวัดให้เป็น Learning Space พื้นที่การเรียนรู้ด้วยตนเองของเยาวชนในจังหวัดนนทบุรี โดยจากการสังเคราะห์ ถอดบทเรียน Learning Space พื้นที่การเรียนรู้ต้นแบบในสังคมไทยดังกล่าวข้างต้น นำไปพัฒนาเป็นคลินิกการแพทย์แผนไทยวัดจันทร์ หรือภูมิรเวชคลินิกแพทย์แผนไทย เพื่อเป็นพื้นที่การเรียนรู้และส่งเสริมให้เยาวชนเกิดการเรียนรู้การนวดแผนไทยและนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นอาชีพเลี้ยงตนเอง และครอบครัวได้ โดยมีกระบวนการพัฒนา Learning Space พื้นที่การเรียนรู้ด้วยตนเองของเยาวชนในจังหวัดนนทบุรี โดยผลการประเมินความคิดเห็นของเยาวชน และผู้มาใช้บริการคลินิกแพทย์แผนไทยวัดจันทร์ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) การสร้างเครือข่าย Learning Space พื้นที่การเรียนรู้ด้วยตนเองของเยาวชนในจังหวัดนนทบุรีไปยังพิพิธภัณฑ์วัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี โดยมีกระบวนการสร้างเครือข่าย ประกอบด้วย 1) การตระหนักถึงความจำเป็นในการสร้างเครือข่าย Learning Space พื้นที่การเรียนรู้ด้วยตนเองของเยาวชนในจังหวัดนนทบุรี 2) การติดต่อกับวัดที่จะร่วมเป็นเครือข่ายหลังจากตัดสินใจร่วมกัน <br />3) การสร้างพันธกรณีร่วมกัน โดยการเชิญวิทยากรทางด้าน วัฒนธรรม วิถีชีวิตท้องถิ่นและภูมิปัญญา มาให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ด้วยตนเอง 3) การพัฒนาความสัมพันธ์ร่วมกัน ผู้วิจัยได้ลงพื้นที่พัฒนาความสัมพันธ์ร่วมกับเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างและผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการสร้างเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง 5) การทำกิจกรรมร่วมกัน โดยในขั้นตอนนี้ทางผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์เครือข่าย Learning Space พื้นที่การเรียนรู้ด้วยตนเองของเยาวชนในจังหวัดนนทบุรีร่วมกับวัดเครือข่ายและหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน</p> พระครูโอภาสนนทกิตติ์ , พระครูสมุห์ทอง ฐิตปญฺโญ (บุตรดี), พระมหาญาณวัฒน์ ฐิตวฑฺฒโน , อรุณรัตน์ วิไลรัตนกุล , มนัสนันท์ บุญปู่ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278694 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นเขตทางทะเลประเทศไทยของโรงเรียนวัดมุขธารา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277210 <p>บทความวิจัยครั้งมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพหลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียนวัดมุขธารา 2) เพื่อพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นเขตทางทะเลประเทศไทยของโรงเรียนวัดมุขธารา และ 3) เพื่อประเมินหลักสูตรท้องถิ่นตามหลักสูตรเขตทางทะเลประเทศไทยของโรงเรียนวัดมุขธารา ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 15 คน การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่างหลักสูตร จำนวน 5 คน และประเมินหลักสูตรจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 15 คน เพื่อประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียนวัดมุขธารามีเนื้อหาไม่ครอบคลุมกับบริบทของชุมชน ไม่สนองต่อความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน กิจกรรมการเรียนการสอนขาดความน่าสนใจ เอกสารประกอบหลักสูตรท้องถิ่นไม่ครบองค์ประกอบ เนื้อหาไม่เหมาะสมกับผู้เรียนและชุมชน <br />2) การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นจะมีขั้นตอนในการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นดังนี้ (1) การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน (2) การออกแบบหรือยกร่างหลักสูตร (3) การจัดทำเอกสารประกอบหลักสูตร (4) การตรวจสอบและทดลองใช้หลักสูตร (5) การนำหลักสูตรไปใช้ (6) การประเมินผลหลักสูตร โดยมีองค์ประกอบสำคัญ คือ (1) ความสำคัญของหลักสูตรท้องถิ่น (2) วิสัยทัศน์ (3) เป้าประสงค์ (4) พันธกิจ (5) สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (6) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (7) โครงสร้างเนื้อหา (8) โครงสร้างรายวิชา (9) แบบประเมินผลการเรียนรู้ (10) เกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ (11) แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม และ 3) ผลการประเมินหลักสูตรท้องถิ่นเขตทางทะเลประเทศไทยของโรงเรียนวัดมุขธารา มีความเหมาะสม เป็นไปได้ เป็นประโยชน์และยอมรับจากองค์กร โดยหลักสูตรเป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นและบริบทของสถานศึกษาซึ่งเป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเล</p> ภักดี พรมแก้ว , พระครูประโชติกิจจาภรณ์ , บุญเลิศ วีระพรกานต์ , อภิจิตร์ ณ นคร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277210 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นของการบริหารวิชาการเพื่อส่งเสริมความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัย สำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279151 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นของการบริหารวิชาการเพื่อส่งเสริมความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยมีตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 343 โรงเรียน ด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้น ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียน รองผู้อํานวยการกลุ่มบริหารวิชาการหรือหัวหน้าฝ่ายวิชาการ และครู โรงเรียนละ 3 คน รวมทั้งสิ้น 1,029 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้รับแบบสอบถามคืนกลับมา คิดเป็นร้อยละ 83.67 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI<sub>Modified</sub>)</p> <p>สรุปผลการวิจัย พบว่า การจัดลำดับความต้องการจำเป็นของการบริหารวิชาการเพื่อส่งเสริมความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา ด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด คือ ด้านการวัดและประเมินผล ส่วนด้านที่มีความต้องการจำเป็นน้อยที่สุด คือ การจัดการเรียนการสอนและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า การบริหารวิชาการทั้ง 3 ด้าน มีคุณลักษณะตามแนวคิดความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยที่มีค่าดัชนีความต้องการจำเป็นสูงสุดเหมือนกัน คือ ความรู้สึกเชิงบวกและลบ และความรู้สึกในชีวิตที่มีความหมาย ตามลำดับ</p> นิรชา โพธิ์พรมศรี , พงษ์ลิขิต เพชรผล , ธีรภัทร กุโลภาส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279151 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การบริหารหลักสูตรท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายหัวไทร 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277992 <p>บทความวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารหลักสูตรท้องถิ่นของสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายหัวไทร 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารหลักสูตรท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายหัวไทร 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการบริหารหลักสูตรท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายหัวไทร 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เกี่ยวข้อง 15 คน การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่างแนวทาง 5 คน และสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน เพื่อประเมินความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความเป็นประโยชน์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารหลักสูตรท้องถิ่นของสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายหัวไทร 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 พบว่า มีการแต่งตั้งบุคลากรทั้งภายในและภายนอกที่มีความเหมาะสมมาดำเนินงาน ซึ่งครูในตำแหน่งหัวหน้างานวิชาการเป็นผู้รับผิดชอบหลัก โดยมีคณะครูในโรงเรียนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานหลักสูตรท้องถิ่น ข้อมูลพื้นฐานที่รวบรวมเพื่อนำมาวิเคราะห์ในการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้ให้ข้อมูลขนาดเล็ก ข้อมูลไม่ได้สะท้อนถึงแนวโน้มและทิศทางการเปลี่ยนแปลงของชุมชน ทำให้เนื้อหาของหลักสูตรท้องถิ่นไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนในปัจจุบัน ครูบางคนยังขาดความรู้และทักษะในการออกแบบหลักสูตร อีกทั้งชุมชนไม่มีส่วนร่วมในการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นและการนำหลักสูตรท้องถิ่นไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ มีการวัดและประเมินหลักสูตร โดยคณะครูผู้จัดทำหลักสูตรท้องถิ่น มีการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรแต่ยังขาดความต่อเนื่องและเป็นระบบ 2) แนวทางการบริหารหลักสูตรท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายหัวไทร 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 ประกอบด้วย (1) การแต่งตั้งคณะกรรมการ (2) วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน สภาพปัญหาและความต้องการ (3) การจัดทำหลักสูตร (4) การนำหลักสูตรไปใช้ (5) การวัดและประเมินหลักสูตร (6) การปรับปรุงพัฒนา ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของผู้บริหาร ครู และชุมชนร่วมการทำงานอย่างเป็นระบบตามขั้นตอนอย่างต่อเนื่องตามกระบวนการมีส่วนร่วม ประกอบด้วย (1) การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (2) การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ (3) การมีส่วนร่วมในผลประโชน์ (4) การมีส่วนร่วมในการประเมินผล และ 3) การนำเสนอแนวทางการบริหารหลักสูตรท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายหัวไทร 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 พบว่า มีความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความเป็นประโยชน์ในการบริหารหลักสูตรท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษาได้จริง</p> ขนิษฐา จันทร์ทอง, พระครูสุเมธปริยัติคุณ , กษมา ศรีสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277992 Sat, 30 Aug 2025 00:00:00 +0700 การบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบด้วยวงจรคุณภาพของโรงเรียนบ้านชะอวด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278180 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบของโรงเรียนบ้านชะอวด 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบด้วยวงจรคุณภาพของโรงเรียนบ้านชะอวด และ 3) เพื่อนำเสนอและประเมินแนวทางการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบด้วยวงจรคุณภาพของโรงเรียนบ้านชะอวด ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เกี่ยวข้อง 15 คน การสัมภาษณ์เชิงลึกแนวทางการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ 5 คน และสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลแบบอุปนัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบของโรงเรียนบ้านชะอวด ได้แก่ (1) การบริหารมาตรฐานด้านทรัพยากรการเรียนรู้ โรงเรียนมีการประชุมคณะกรรมการดำเนินงาน วางแผนในการจัดสภาพแวดล้อม ทรัพยากรที่เอื้อต่อการเรียนรู้ โรงเรียนยังขาดครุภัณฑ์และอุปกรณ์วิทยาศาสตร์พื้นฐานบางส่วน และแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา ซึ่งต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับโครงการ (2) การบริหารมาตรฐานด้านกระบวนการเรียนรู้ โรงเรียนประชุมชี้แจงเน้นให้ครูสอนกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แบบสืบเสาะ ที่เน้นกระบวนการและองค์ความรู้ บูรณาความรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี นักเรียนแต่ละคนมีความรู้พื้นฐานและความสนใจที่แตกต่างกันซึ่งยากต่อการเรียนรู้ที่นำความรู้มาบูรณาการ (3) การบริหารมาตรฐานด้านหลักสูตร ครูได้ออกแบบในรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์พลังสิบ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่มีกิจกรรมที่หลากหลายเน้นการบูรณาการวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี บางกิจกรรมนักเรียนขาดการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา ทำให้บูรณาการความรู้ได้ยาก 2) แนวทางการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบด้วยวงจรคุณภาพของโรงเรียนบ้านชะอวด ประกอบด้วย (1) การบริหารมาตรฐานด้านทรัพยากรการเรียนรู้ (2) การบริหารมาตรฐานด้านกระบวนการเรียนรู้ (3) การบริหารมาตรฐานด้านหลักสูตร โดยมีขั้นตอนดำเนินการดังนี้ ประชุมวางแผน ดำเนินตามแผน มีการประเมินติดตามผล และการปรับปรุงและพัฒนา3) การนำเสนอและประเมินแนวทางการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบด้วยวงจรคุณภาพของโรงเรียนบ้านชะอวด พบว่าว่ามีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ สามารถนำไปใช้ได้เป็นประโยชน์ในการบริหารโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบด้วยวงจรคุณภาพของโรงเรียนบ้านชะอวด</p> สมคิด พรรณศักดิ์, พระครูประโชติกิจจาภรณ์ , บุญเลิศ วีระพรกานต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278180 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะนวัตกรรมการกำหนดนโยบาย ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279192 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะนวัตกรรมการกำหนดนโยบายของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา โดยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณซึ่งเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ โรงเรียนประถมศึกษา จำนวน 57 แห่ง ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้อำนวยการโรงเรียนประถมศึกษา จำนวน 347 คน และผู้บริหารการศึกษาจำนวน 57 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 404 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ในการพัฒนาสมรรถนะนวัตกรรมการกำหนดนโยบายของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.976 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น</p> <p>สรุปผลการวิจัยพบว่า ความต้องการจำเป็นสมรรถนะนวัตกรรมการกำหนดนโยบายรายองค์ประกอบที่มีค่าความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสามลำดับแรก ได้แก่ การคิดเชิงนวัตกรรมในการกำหนดนโยบาย (PNI Modifed = 0.158) การทำงานกับหลักฐานอ้างอิงเพื่อการกำหนดนโยบาย ที่สามารถแก้ปัญหาและหรือการคาดการณ์อนาคตที่พึงประสงค์ (PN IModifed = 0.155) และการประสานและร่วมมือในการดำเนินการกำหนดนโยบาย (PNI Modifed =0.131) และความต้องการจำเป็นสมรรถนะนวัตกรรมการกำหนดนโยบาย องค์ประกอบย่อยที่มีค่าความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสามลำดับแรก คือ ด้านการคิดเชิงออกแบบนโยบาย ด้านการคิดเชิงออกแบบนโยบาย (PNI Modifed = 0.171) รองลงมา การทำงานกับข้อมูล เพื่อการกำหนดนโยบาย (PNI Modifed = 0.157) การใช้หลักฐานอ้างอิงสนับสนุน เพื่อการกำหนดนโยบาย (PNI Modifed = 0.152)</p> ณัฐิกา นิตยาพร , นันทรัตน์ เจริญกุล , พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279192 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การปฏิบัติที่เป็นเลิศของระบบธนาคารหน่วยกิตในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279143 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสังเคราะห์การปฏิบัติที่เป็นเลิศของระบบธนาคารหน่วยกิตในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี 2) เพื่อเสนอแนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศของระบบธนาคารหน่วยกิตในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 ผู้บริหารสถานศึกษาหรือรองผู้อำนวยการสถานศึกษาในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี โรงเรียนละ 1 คน รวมผู้ให้ข้อมูล จำนวน 22 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และกลุ่มที่ 2 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับระบบธนาคารหน่วยกิต ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี โรงเรียนละ 1 คน รวมผู้ให้ข้อมูล จำนวน 22 คน ด้วยการสนทนากลุ่ม และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การปฏิบัติที่เป็นเลิศของระบบธนาคารหน่วยกิตในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ ด้านโครงสร้างและการจัดการ ด้านหลักเกณฑ์ ด้านวิธีการ ด้านกลยุทธ์ และด้านผลลัพธ์ 2) แนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศของระบบธนาคารหน่วยกิตในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี มี 8 ข้อ คือ (1) เชื่อมต่อนโยบายระบบธนาคารหน่วยกิตต่อยอดจากกระทรวงศึกษาธิการสู่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (2) กำหนดบทบาทหน่วยงานทำหน้าที่ควบคุมมาตรฐานการเทียบโอนหน่วยกิตโดยพิจารณาหลักสูตร คำอธิบายรายวิชา การจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล และติดตามผลการเทียบโอนให้เกิดความก้าวหน้า (3) จัดทำเอกสารคู่มือหรือแนวปฏิบัติสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (4) จัดโครงการสร้างเสริมประสบการณ์วิชาชีพ ให้นักเรียนได้รับค่าตอบแทนตามคุณวุฒิและสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง (5) สร้างความโดดเด่นของแต่ละเขตพื้นที่ ด้วยการกำหนดทิศทางและออกแบบหลักสูตรของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้มุ่งส่งเสริมความเป็นเลิศเฉพาะทาง (6) สนับสนุนการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางโดยเป็นความร่วมมือด้านวิชาการจากองค์กรภาครัฐ มหาวิทยาลัย และสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน (7) ลดค่าใช้จ่ายด้านการเรียนให้กับนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อจูงใจให้นักเรียนเข้าร่วมในระบบธนาคารหน่วยกิตมากยิ่งขึ้น (8) ต่อยอดการเรียนรู้ผ่านแหล่งเรียนรู้ทั้งในรูปแบบ Online และ On-Site สู่การเทียบโอนเข้าระบบธนาคารหน่วยกิตอย่างต่อเนื่อง</p> สุภัคพร นิธิพัฒนกาญจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/279143 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 ทักษะการทำงานพื้นฐานในยุคพลิกผันสำหรับนักศึกษาปริญญาบัณฑิต https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278393 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์แนวคิดที่เกี่ยวกับทักษะการทำงานพื้นฐานในยุคพลิกผัน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย หัวหน้าฝ่ายบุคคลและเจ้าหน้าที่พัฒนาองค์กรและฝึกอบรมของหน่วยงานหรือบริษัท เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบวิเคราะห์เอกสารและแบบสัมภาษณ์ทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในยุคพลิกผันของนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต วิเคราะห์ข้อมูลโดยความถี่และวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาเอกสารเกี่ยวกับทักษะการทำงานพื้นฐานในยุคพลิกผันสำหรับนักศึกษาปริญญาบัณฑิต พบทักษะการทำงานพื้นฐานในยุคพลิกผันสำหรับนักศึกษาปริญญาบัณฑิต จำนวน 34 ทักษะ โดยทักษะที่มีความถี่สูงสุดอันดับแรก คือ ทักษะการคิดริเริ่มและสร้างสรรค์ อันดับ 2 คือ ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการปรับตัวได้รวดเร็วยืดหยุ่น และรับมือกับความเครียดและทักษะการใช้เทคโนโลยี ส่วนอันดับ 3 คือ ทักษะการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ทักษะการจัดการตนเอง ทักษะการสื่อสาร ทักษะการรวมพลังทำงานเป็นทีม และทักษะด้านธุรกิจ 2) ผลการสัมภาษณ์สถานประกอบการเกี่ยวกับทักษะการทำงานพื้นฐานในยุคพลิกผันสำหรับนักศึกษาปริญญาบัณฑิต มีจำนวน 19 ทักษะ โดยทักษะที่มีความถี่สูงสุดอันดับ 1 คือ ทักษะการสื่อสาร อันดับ 2 ทักษะการคิดวิเคราะห์และทักษะการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และอันดับ 3 คือ ทักษะการคิดเชิงระบบ ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะเทคโนโลยี และทักษะการเรียนรู้สิ่งใหม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง</p> ศุภกิตติ์ สรรค์พิพัฒน์, อภิภา ปรัชญพฤทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/278393 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาโมดูลการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้รายวิชาพระพุทธศาสนาของโรงเรียนประถมศึกษา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/280535 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมบทเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนา 2) เพื่อพัฒนาโมดูลการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมบทเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนา ในโรงเรียนประถมศึกษา 3) เพื่อประเมินโมดูลการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมบทเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนา ในโรงเรียนประถมศึกษา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นการวิจัยและพัฒนา โดยการลงพื้นที่เก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนามจากกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือวิจัยคือ แบบสอบถาม เก็บข้อมูลจากครูที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 316 คน การสัมภาษณ์ผู้บริหารและครู จำนวน 15 คน และการวิจัยเชิงปฏิบัติการกับครูโรงเรียนประถมศึกษา จำนวน 15 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิจัยเขิงปริมาณด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมบทเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนา ในโรงเรียนประถมศึกษา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมบทเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนา ในโรงเรียนประถมศึกษา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วย (1) หลักการ กระบวนการออกแบบและสร้างเนื้อหา การสอน หรือระบบการเรียนรู้ที่แยกเป็นส่วนย่อย เพื่อให้มีความยืดหยุ่น ใช้งานง่าย และตอบโจทย์การเรียนรู้เฉพาะด้าน หลักการสำคัญของการพัฒนาโมดูล ที่ส่งผลต่อโรงเรียนอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามองค์ประกอบที่สำคัญของโมดูล ชัดเจนและกระชับ เนื้อหาของโมดูลควรเข้าใจง่าย ไม่มีความซับซ้อนเกินไป และเน้นประเด็นสำคัญ มุ่งเน้นเป้าหมายการเรียนรู้ ทุกโมดูลควรเริ่มต้นด้วยเป้าหมายการเรียนรู้ที่ระบุชัดเจน เพื่อกำหนดแนวทางและผลลัพธ์ที่ต้องการ เชื่อมโยงกับความรู้เดิม โมดูลควรต่อยอดจากสิ่งที่ผู้เรียนรู้อยู่แล้วเพื่อสร้างความเข้าใจใหม่ แบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยย่อย แบ่งเนื้อหาเป็นส่วนย่อยๆ เพื่อช่วยลดภาระด้านการประมวลผลข้อมูลของผู้เรียนตามกรอบที่ตั้งเป้าไว้ คือ การเรียนผ่านระบบออนไลน์ การเรียนในห้องเรียน การเรียนแบบผสมผสานออนไลน์และออฟไลน์ การเรียน Home School (2) วัตถุประสงค์การพัฒนาโมดูลที่ดีสามารถช่วยเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งในแง่ของผู้เรียนและผู้สอน รวมถึงสนับสนุนการเติบโตในมิติของความรู้และทักษะได้อย่างต่อเนื่อง.วัตถุประสงค์ของการพัฒนาโมดูลมีเป้าหมายเพื่อสร้างเนื้อหา กระบวนการเรียนรู้ หรือระบบที่มีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะด้านของผู้เรียนหรือผู้ใช้งาน (3) ระบบกลไก เทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญ ผู้เรียน กระบวนการทำงาน (4) วิธีการดำเนินงาน การวิเคราะห์ การออกแบบ การพัฒนา การทดลองและปรับปรุง การนำไปใช้ การประเมินผลและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (5) แนวทางการประเมินผล การประเมินคุณภาพเนื้อหา <br />การประเมินกระบวนการเรียนรู้ การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การประเมินการใช้งานและเทคโนโลยี การประเมินผลกระทบ (6) เงื่อนไขความสำเร็จ (7) การนำไปใช้งาน และ 3) ผลการประเมินโมดูลการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมบทเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนา ในโรงเรียนประถมศึกษา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมาก สามารถนำไปพัฒนาโมดูลการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีกับการสอนหน่อยการเรียนรู้วิชาพระพุทธศาสนากับครูในโรงเรียนประถมศึกษา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา</p> ประวิทย์ ชัยสุข , พีรวัฒน์ ชัยสุข , พระสุรชัย สุรชโย , อภิชาติ รอดนิยม , ถาวร ภูษา , พระครูสมุห์ทอง ฐิตปญฺโญ , พระครูอุดมจารุวรรณ , พระมหาวัฒนา โลสันตา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/280535 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยการบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 เพื่อส่งเสริมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน โรงเรียนอนุบาลสานสายใยรัก เทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/280056 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยการบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 เพื่อส่งเสริมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน โรงเรียนอนุบาลสานสายใยรัก เทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการวิจัยและพัฒนา ในลักษณะของการผสมผสานวิธี โดยมีขั้นตอนการวิจัย 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การวิจัย เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน เป็นการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน สำหรับการออกแบบรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนา เป็นการออกแบบและพัฒนาเป็นการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ขั้นตอนที่ 3 การวิจัย <br />เป็นการนำไปใช้ การนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ และขั้นตอนที่ 4 การพัฒนา เป็นการประเมินผล <br />การประเมินและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้</p> <p>สรุปผลการวิจัยพบว่า 1) การที่จะพัฒนาบุคคลให้เป็นผู้มีคุณลักษณะที่ต้องการนั้นต้องใช้หลักแนวคิดที่นำมาพัฒนาได้จริง คือ แนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริง แนวคิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง แนวคิดการส่งเสริมศักยภาพครู แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ แนวคิดสำคัญเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง แนวคิดสำคัญเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ โดยการบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 มีหลักการว่าทักษะการจัดการเรียนรู้เป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้ และโดยมีผลการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมศักยภาพครูในการปลูกฝังคุณลักษณะพอเพียงแก่นักเรียนโรงเรียนอนุบาลสานสายใยรัก เทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นมีชื่อว่า ชื่อว่า 4A1E Model 2) การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยการบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 เพื่อส่งเสริมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลสานสายใยรัก เทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ มีชื่อว่า 4A1E Model ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนดังนี้ (1) สร้างความตระหนัก (2) การกำหนดเป้าหมาย/ประเด็นพัฒนา (3) ฝึกปฏิบัติ/นำความรู้ไปใช้ (4) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (5) การประเมินผล มีองค์ประกอบในการพัฒนาคือ การอบรมเชิงปฏิบัติการ <br />การปฏิบัติการสอนโดยการบูรณาการหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 การนิเทศกำกับติดตามและประเมินผล 3) ผลศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยการบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 พบว่า ความสามารถของครูในการเขียนหน่วยการเรียนรู้ ความสามารถของครูในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ และความสามารถของครูในการจัดการเรียนรู้โดยการบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 อยู่ในระดับดีมาก ส่วนความคิดของครูเห็นต่อการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด คุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านอยู่อย่างพอเพียงของนักเรียนที่ได้เรียนรู้โดยการบูรณาการหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 อยู่ในระดับดีเยี่ยม และความคิดเห็นของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยการบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 อยู่ในระดับมาก และ 4) ผลการประเมินผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยการบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 พบว่า ด้านความรู้ความเข้าใจ ด้านทักษะการปฏิบัติ คุณลักษณะพอเพียงของผู้เรียน มีผลการประเมินจากทุกแหล่งประเมินพบว่า ค่าเฉลี่ยผลการพัฒนาในอัตราที่สูงขึ้น</p> ณัฐธยาน์ สนินัด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/280056 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 การบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของชุมชนตามหลักอริยสัจ 4 ของโรงเรียนเทพราชพิทยาสรรค์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277870 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของชุมชน ของโรงเรียนเทพราชพิทยาสรรค์ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของชุมชนตามหลักอริยสัจ 4 ของโรงเรียนเทพราชพิทยาสรรค์ และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของชุมชนตามหลักอริยสัจ 4 ของโรงเรียนเทพราชพิทยาสรรค์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 15 คน การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 คน และการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 รูป/คน มีเครื่องมือการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์และแบบสนทนากลุ่ม ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของชุมชน ของโรงเรียนเทพราชพิทยาสรรค์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ประกอบด้วย (1) การบริหารวิชาการ (2) การบริหารงานบุคคล (3) การบริหารงบประมาณ (4) การบริหารทั่วไป โดยมีการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของชุมชุนโดยมีหลักการดังนี้ (1) การมีมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น (2) การมีส่วนร่วมปฏิบัติงาน (3) การมีมีส่วนร่วมในการประเมิน (4) การมีมีส่วนร่วมในการสนับสนุน 2) แนวทางการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมกับของชุมชนตามหลักอริยสัจ 4 โรงเรียนเทพราชพิทยาสรรค์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ ด้านที่ 1 การบริหารวิชาการ มีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ (1) การพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ (2) การจัดทำทะเบียนและวัดผลประเมินผล (3) การบริหารกลุ่มสาระการเรียนรู้และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (4) การส่งเสริมคุณภาพการจัดการศึกษา (5) การพัฒนาสื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการศึกษาและแหล่งเรียนรู้ (6) งานประกันคุณภาพการศึกษา ด้านที่ 2 การบริหารงานบุคคล มีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ (1) งานวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง (2) งานสรรหาการบรรจุแต่งตั้งและออกจากราชการ (3) งานสารบรรณและเลขานุการฝ่าย (4) งานวินัยและการรักษาวินัย (5) งานสร้างเสริมประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ (6) งานประเมินผลการปฏิบัติงานและเลื่อนขั้นเงินเดือน (7) งานทะเบียนประวัติและเลื่อนวิทยฐานะ ด้านที่ 3 การบริหารงบประมาณ มีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ (1) งานแผนและจัดตั้งงบประมาณ (2) การบริหารการเงิน (3) การบริหารบัญชี (4) การบริหารพัสดุและสินทรัพย์ (5) งานควบคุมถายในและบริหารความเสี่ยง ด้านที่ 4 การบริหารทั่วไป มีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ (1) งานอาคารสถานที่ (2) งานกิจการนักเรียน (3) งานอนามัย (4) งานประชาสัมพันธ์และสัมพันธ์ชุมชนมีการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของชุมชุนโดยมีหลักการดังนี้ (1) การมีมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น (2) การมีส่วนร่วมปฏิบัติงาน (3) การมีมีส่วนร่วมในการประเมิน (4) การมีมีส่วนร่วมในการสนับสนุน โดยนำหลักพุทธรรมมาเป็นกรอบในการดำเนินงาน คือ อริยสัจ 4 ได้แก่ (1) ทุกข์ การกำหนดปัญหา (2) สมุทัย การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา (3) นิโรธการกำหนดเป้าหมาย (4) ขั้นมรรคกำหนดวิธีการแก้ปัญหา และ 3) การนำเสนอแนวทางการบริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมของชุมชนตามหลักอริยสัจ 4 ของโรงเรียนเทพราชพิทยาสรรค์ พบว่ามีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความเป็นประโยชน์ และมีโครงสร้างตามองค์ประกอบสามารถนำไปใช้ได้</p> กิตติญา ชัยฤกษ์ , กษมา ศรีสุวรรณ , พระครูสุเมธปริยัติคุณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/277870 Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700