การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้านจริยธรรมในการเรียนสาระสังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรมระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่อง การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้านจริยธรรมในการเรียนสาระสังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรมระดับมัธยมศึกษาตอนปลายอำเภอเมืองจังหวัดหนองคายมีวัตถุประสงค์เพื่อ
เสนอแนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้านจริยธรรมในการเรียนสาระสังคมศึกษาศาสนา
และวัฒนธรรมโดยใช้การวิจัยแบบผสมผสาน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้จำนวน ๒,๖๐๗ คน โดย
สุ่มตัวอย่างแบบง่ายและแบบลำดับขั้นโดยตารางของยามาเน่จำนวน ๓๔๗ คน โดยใช้สถิติค่าความถี่
ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบค่า (t-test) ในกรณีตัวแปรต้นสองกลุ่ม
และการทดสอบค่า (ANOVA)
ผลการวิจัยพบว่า
๑. การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้านจริยธรรมในการเรียนสาระสังคมศึกษาศาสนาและ
วัฒนธรรมระดับมัธยมศึกษาตอนปลายอำเภอเมืองจังหวัดหนองคายโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทั้ง
๕ ด้าน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก
๒. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้านจริยธรรมในการ
เรียนสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมจำแนกตามเพศโดยการทดสอบค่าทีโดยภาพรวมพบว่าไม่
แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้โดยวิเคราะห์
ความแปรปรวนทางเดียวจำแนกตามระดับชั้นเรียนขนาดโรงเรียนโดยภาพรวมพบว่า ไม่แตกต่างกัน
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
๓. แนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้านจริยธรรมในการเรียนสาระสังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรมควรจัดเนื้อหาในรายวิชาให้เหมาะสมกับหน่วยกิต เน้นประโยชน์สามารถนำไป
ประยุกต์ใช้ได้จริงมีการบูรณาการให้สอดคล้องกับความพื้นฐานความรู้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผู้สอนควรมีเทคนิคการสอนที่หลากหลายผู้เรียนได้รับความรู้จาก
ประสบการณ์จริงมีวิธีการวัดผลและประเมินผลที่หลากหลายพร้อมทั้งติดตามนำผลมาวิเคราะห์
ปรับปรุงแก้ไขและทำให้เกิดประโยชน์ในการนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
Article Details
ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารฉบับนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้นเพียงผู้เดียว และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการคัดเลือกบทความลงตีพิมพ์และจะแจ้งให้เจ้าของบทความทราบหลังจากผู้ประเมินบทความตรวจอ่านบทความแล้ว
ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้ามนำข้อความทั้งหมดหรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยฯ เป็นลายลักษณ์อักษร