พระพุทธศำสนำกับกำรพัฒนำที่ยั่งยืน
Main Article Content
บทคัดย่อ
โลกเริ่มมีการพัฒนาหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สังคมมนุษย์มีความเจริญทางด้านต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะความเจริญด้านวัตถุจาก จากยุคเกษตรกรรม สู่ยุคอุตสาหกรรม เข้าสู่ยุคเทคโนโลยี ยุคอวกาศ ยุคแห่งข้อมูลข่าวสารที่ไร้พรมแดนที่เรียกว่า ยุคโลกาภิวัตน์ สิ่งที่เป็นเครื่องแสดงถึงความเจริญในด้านต่างๆ ของการพัฒนาเหล่านั้นทั้งหมด คือ เทคโนโลยี ซึ่งทาให้โลกพัฒนาอย่างถึงที่สุด จึงมีคาถามว่า แท้ที่จริงแล้วโลกของเราที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้มีการพัฒนาถึงจุดสูงสุดแล้วหรือยัง อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่ง หรือมนุษย์ทุกคนทีอุบัติมาในโลกนี้จะพึงได้รับ ไม่ว่าจะเป็น ทรัพย์สิน เงินทอง บ้านเรือนที่ใหญ่โตรโหฐาน การได้ครอบครองสิ่งต่างๆ ที่มีค่ามหาศาล แต่สิ่งเหล่านี้มนุษย์ก็มีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง คือในขณะที่เขาดารงชีวิตเท่านั้นมิใช่หรือ ในช่วงที่มนุษย์นอนหลับ หรือเสียชีวิตมนุษย์ก็ไม่นาสิ่งที่เขาครอบครองนาติดตัวไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว จริงๆ แล้วมนุษย์เป็นเพียงผู้มาอาศัยโลกใบนี้ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่พอวันเวลาผ่าน มนุษย์กลับคืนไปสู่ธรรมชาติ ละทิ้งสิ่งต่างๆ คืนสู่โลกที่อาศัยอยู่
หากมองที่การพัฒนาจะเห็นว่า ด้านหนึ่งเจริญขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งกลับเสื่อมลง ซึ่งในปัจจุบันความเสื่อมของทรัพยากรธรรมชาติปรากฏชัดเจนมากขึ้น หรือแม้แต่ชีวิตมนุษย์ก็ตาม มีความเสื่อมลง มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนมากขึ้น มองลงไปอีกจะเห็นว่าการพัฒนาปรากฏในลักษณะที่กระตุ้นความอยากอย่างไม่จบสิ้น คนที่มีแล้วก็ยิ่งอยากมีมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนที่ยังไม่มีก็พยายามขวนขยายเพื่อที่จะได้จะมีขึ้นมาครอบครอง หากเป็นเช่นนี้ความต้องการของมนุษย์ก็ไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์จะพยายามแสวงหาให้ตนได้สิ่งที่ต้องการมากที่สุดเท่าที่จะทาได้ เมื่อเป็นดังนี้ทรัพยากรที่เหลืออยู่ในปัจจุบันอาจไม่พอต่อการตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ ดังคากล่าวของมหาตมะ คานธีว่า “ทรัพยากรในโลกนี้มีเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนทั้งโลก แต่ไม่เพียงพอสาหรับคนที่มีความโลภเพียงคนเดียว”
Article Details
ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารฉบับนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้นเพียงผู้เดียว และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการคัดเลือกบทความลงตีพิมพ์และจะแจ้งให้เจ้าของบทความทราบหลังจากผู้ประเมินบทความตรวจอ่านบทความแล้ว
ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้ามนำข้อความทั้งหมดหรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยฯ เป็นลายลักษณ์อักษร