วัจนกรรมการขอบคุณของผู้เรียนภาษาไทยชาวจีนตามแนววัจนปฏิบัติศาสตร์ อันตรภาษา: กรณีศึกษากิตติกรรมประกาศในวิทยานิพนธ์ที่เขียนเป็นภาษาไทย
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวัจนกรรมการขอบคุณของผู้เรียนภาษาไทยชาวจีนตามแนววัจนปฏิบัติศาสตร์อันตรภาษา โดยเก็บข้อมูลจากกิตติกรรมประกาศวิทยานิพนธ์จำนวนทั้งสิ้น 230 เรื่อง แบ่งออกเป็นจากผู้เรียนภาษาไทยชาวจีนจำนวน 62 เรื่อง ผู้เขียนภาษาไทยจำนวน 100 เรื่อง และผู้เขียนภาษาจีนกลางจำนวน 68 เรื่อง เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาและเปรียบเทียบกันโดยใช้วิธีการสถิติไค-สแควร์ พร้อมทั้งอธิบายแนวโน้มการถ่ายโอนทางวัจนปฏิบัติผลการศึกษาพบว่า ทั้งสามกลุ่มใช้กลวิธีการขอบคุณแบบตรงไปตรงมามากกว่ากลวิธีการขอบคุณแบบอ้อมและกลวิธีเสริม เมื่อเปรียบเทียบความถี่พบว่า ผู้เรียนภาษาไทยชาวจีนใช้กลวิธีการขอบคุณแบบตรงไปตรงมาน้อยกว่าผู้เขียนภาษาไทยอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ใช้ใกล้เคียงกับผู้เขียนภาษาจีนกลาง ซึ่งเป็นผลมาจากการถ่ายโอนทางวัจนปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม ผู้เรียนภาษาไทยชาวจีนใช้กลวิธีการขอบคุณแบบอ้อมมากกว่าผู้เขียนภาษาไทยและผู้เขียนภาษาจีนกลางอย่างมีนัยสำคัญ และใช้กลวิธีเสริมมากกว่าผู้เขียนภาษาไทยแต่ใช้น้อยกว่าผู้เขียนภาษาจีนกลางอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นผลมาจากภาษาระหว่างกลางที่ผู้เรียนนำมาใช้ในภาษาเป้าหมาย ผลการศึกษานี้ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมการใช้ภาษาของผู้เรียนภาษาไทยชาวจีน และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาความสามารถทางวัจนปฏิบัติของผู้เรียนภาษาไทยชาวจีน
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
ชาญวิทย์ เยาวฤทธา. (2561). วัจนกรรมการแสดงความไม่พอใจของนักศึกษาต่อผู้ปกครองและปัจจัยที่ผู้พูดคำนึงถึง, วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา. 12(2), 96-126.
ดีอนา คาซา. (2564). การปฏิสัมพันธ์ของชาวอินโดนีเซียที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่สองกับชาวไทย: การศึกษาตามแนววัจนปฏิบัติศาสตร์อันตรภาษาและวัจนปฏิบัติศาสตร์ระหว่างวัฒนธรรม. (วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ทัศนีย์ เมฆถาวรวัฒนา. (2541). วัจนกรรมการขอโทษในภาษาไทย. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต) กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ประไพพรรณ พึ่งฉิม. (2559). เมื่อนักการเมืองไทยขอโทษ: การวิเคราะห์วัจนกรรมการขอโทษผ่านสื่อสาธารณะตามแนววัจนปฏิบัติศาสตร์, วารสารอักษรศาสตร์. 45(2), 305-350.
มติชน. (2566). จีน ครองแชมป์ น.ศ.ต่างชาติ มาเรียนมหา’ลัยไทยมากสุด พบอยู่ ม.เอกชนกว่า 15,000 คน. สืบค้นเมื่อ 15 มีนาคม 2568, จาก https://www.matichon.co.th/education/news_4297743.
ยางวอน ฮยอน. (2559). การศึกษากลวิธีแสดงความเห็นแย้งของนักศึกษาเกาหลีที่พูดภาษาไทยเป็นภาษาที่ 2 ในการสนทนาแบบแสดงความคิดเห็นในภาษาไทยตามแนววัจนปฏิบัติศาสตร์อันตรภาษา, วารสารภาษาและภาษาศาสตร์. 34(2), 1-19.
ยางวอน ฮยอน. (2560). การปฏิสัมพันธ์ของชาวเกาหลีที่ใช้ภาษาไทยและชาวไทยในปริบทธุรกิจ: การศึกษาตามแนววัจนปฏิบัติศาสตร์อันตรภาษาและวัจนปฏิบัติศาสตร์ระหว่างวัฒนธรรม. (วิทยนานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
รดารัตน์ ศรีพันธ์วรสกุล. (2562). การศึกษาวัจนกรรมการแสดงความเห็นแย้งของผู้เรียนภาษาไทยชาวจีนตามแนววัจนปฏิบัติศาสตร์อันตรภาษา: กรณีศึกษานักศึกษาชาวจีนจากมณฑลยูนนานและกวางสี. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
รดารัตน์ ศรีพันธ์วรสกุล. (2565). การศึกษาวัจนกรรมการแสดงความไม่พอใจตามแนววัจนปฏิบัติศาสตร์ภาษาระหว่างกลาง: กรณีศึกษาผู้เรียนภาษาไทยชาวจีน, วารสารภาษาและภาษาศาสตร์. 40(2), 89-114.
ราชบัณฑิตยสภา. (2560). พจนานุกรมศัพท์ภาษาศาสตร์ (ภาษาศาสตร์ทั่วไป) ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา.
รุ่งอรุณ ใจซื่อ. (2549). วัจนกรรมการแสดงความไม่พอใจในภาษาไทย: กรณีศึกษานิสิตนักศึกษา. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุธาสินี พลอยขาว. (2551). วัจนกรรมการแสดงความไม่พอใจในกระดานสนทนาทางอินเทอร์เน็ต. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อธิพงษ์ เพ็ชรเกิด. (2556). วัจนกรรมทักทายของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่, วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา. 1(1), 2-10.
อรวี บุนนาค. (2550). กลวิธีการใช้ภาษาแสดงความผิดหวังต่อผู้ฟังที่มีสถานภาพต่างกันในภาษาไทย: กรณีศึกษานิสิตนักศึกษา. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต) กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Austin, J. L. (1962). How to do things with words (Vol. 75). Oxford: Clarendon Press.
Boxer, D. (2002). Discourse issues in cross-cultural pragmatics, Annual review of applied linguistics. 22, 150–167.
Brown, P., & Levinson, S. C. (1987). Politeness: Some universals in language usage. Cambridge: Cambridge University Press.
Culpeper, J., Mackey, A., & Taguchi, N. (2018). Second language pragmatics: From theory to research. New York: Routledge.
Hofstede, G. (1984). Culture's consequences: International differences in work-related values (Vol. 5). Beverly Hills, CA: Sage.
Kasa, D. (2021). Greetings of thai speakers: Content and linguistic strategies, Kasetsart Journal of Social Sciences. 42(4), 953-959.
Kasper, G., & Blum-Kulka, S. (1993). Interlanguage pragmatics. Oxford: Oxford University Press.
Kasper, G., & Rose, K. R. (2002). Pragmatic development in a second language. Oxford: Blackwell Publishing, Inc.
Keyes, C. F. (1971). Buddhism and national integration in Thailand, The Journal of Asian Studies. 30(3), 551-567.
Komin, S. (1990). Culture and work-related values in Thai organizations, International journal of psychology. 25(3-6), 681-704.
Kuang, C. (2013). A Corpus-based Study on Thanking Speech Act in Chinese. (Master's thesis). Sichuan: University of Electronic Science and Technology of China.
Leech, G. N. (1983). Principles of Pragmatics. London: Longman.
Markus, H. R., & Kitayama, S. (1991). Culture and the self: implications for cognitions, emotion, and motivation, Psychological review. 98(2), 224-253.
Searle, J. R. (1969). Speech Acts: An Essay in the Philosophy of Language. Cambridge: Cambridge University Press.
Selinker, L. (1972). Interlanguage, International Review of Applied Linguistics in Language Teaching. 10(1-4), 209-232.
Triandis, H. C. (1995). Individualism and Collectivism. Boulder, CO: Westview Press.
Tu, W. M. (1998). Confucius and Confucianism. In W. H. Slote & G. A. De Vos (Eds.), Confucianism and the family. Albany, NY: State University of New York Press.
Wang, L. (2007). The Speech Act of Thanking in Chinese. (Master's thesis). Guangxi: Guangxi Normal University.
Yang, F. (2011). Religion in China: Survival and revival under communist rule. Oxford: Oxford University Press.