คุณภาพและวิถีชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดนครราชสีมา
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพและวิถีชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดนครราชสีมา 2) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคต่อคุณภาพและวิถีชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดนครราชสีมา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ที่ได้จากการคัดเลือกแบบเจาะจง จากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุของจังหวัดนครราชสีมา 19 คน ได้แก่ ผู้บริหารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ผู้บริหารกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม นักวิชาการชุมชน พยาบาลวิชาชีพ นักพัฒนาสังคม สำนักส่งเสริมและพิทักษ์ผู้สูงอายุ นักพัฒนาชุมชน สำนักงานสาธารณสุข ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการสาธารณสุข และผู้สูงอายุในจังหวัดนครราชสีมา เก็บข้อมูลโดยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า 1) ร่างกาย บางส่วนออกกำลังเป็นประจำทุกวัน ในขณะที่บางส่วนออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง สถานที่ออกกำลังกายไม่เอื้ออำนวย ไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสม โรคที่พบมากในผู้สูงอายุ คือ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคเกิดจากความเสื่อมของร่างกาย 2) จิตใจ ผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกหลานดูแล จะมีปัญหาในเรื่องจิตใจมากกว่าผู้สูงอายุที่มีลูกหลานดูแล ปัญหาด้านจิตใจมาจากความเสื่อมของร่างกาย ไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้ ความยากจน หนี้สิน ถูกทอดทิ้ง ลูกหลานไม่เคารพเชื่อฟัง ความรู้สึกวิตกกังวล ความรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว ความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ จนบางรายทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมา 3) สังคม ผู้สูงอายุไม่เห็นความสำคัญของการทำกิจกรรมต่างๆ ทางสังคม เนื่องจากไม่เข้าร่วมลูกหลานไม่สะดวกพามาเข้าร่วม ต้องทำงานต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานอยู่คนเดียว สุขภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย 4) จิตวิญญาณและคุณค่าความเป็นคน มีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว ส่วนด้านคุณค่าความเป็นคนนั้น การได้ช่วยเหลือทำงานบ้าน การทำงานหาเลี้ยงครอบครัว การยกย่องนับถือจากบุตรหลาน การมาเยี่ยมเยียนของญาติพี่น้อง ทำให้ผู้สูงอายุมีความสุข รู้สึกเห็นคุณค่าในตน 5) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีการส่งเสริมด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ผู้สูงอายุในชุมชน ได้แก่ การจัดให้มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลลงพื้นที่เพื่อไปเยี่ยมไปดูและผู้สูงอายุที่บ้าน การจัดกิจกรรมทำความสะอาดในพื้นที่ชุมชน 6) สิ่งแวดล้อม โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการจัดโครงการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ จัดโครงการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะกึ่งเฉียบพลัน และผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง 7) ปัญหาและอุปสรรค (1) ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนหนังสือทำให้ขาดความรู้และความเข้าใจในการดูแลสุขภาพ (2) ปัญหางบประมาณในการสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุมีจำนวนจำกัด (3) ปัญหาการสื่อสารและการเชื่อมโยงเครือข่ายในพื้นที่ยังขาดประสิทธิภาพ (4) ปัญหาเมื่อเจ็บป่วยไม่ไปพบแพทย์แต่ใช้ซื้อยามากินเอง (5) เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุมีจำนวนจำกัดทำให้บริการไม่ได้ทุกพื้นที่ (6) ผู้สูงอายุบางส่วนไม่มีลูกหลานดูแลทำให้ต้องอยู่ตามลำพัง
Article Details
ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารฉบับนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้นเพียงผู้เดียว และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการคัดเลือกบทความลงตีพิมพ์และจะแจ้งให้เจ้าของบทความทราบหลังจากผู้ประเมินบทความตรวจอ่านบทความแล้ว
ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้ามนำข้อความทั้งหมดหรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยฯ เป็นลายลักษณ์อักษร
เอกสารอ้างอิง
กรมกิจการผู้สูงอายุ. (2563). สถิติผู้สูงอายุ. แหล่งที่มา https://www.dop.go.th/th/know/side/1/1/47 สืบค้นเมื่อ 24 ส.ค. 2563.
จีราพร ทองดี และคณะ. (2555). ภาวะสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดชายแดนภาคใต้. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข. 22(3).
เจษฎา นกน้อย และวรรณภรณ์ บริพันธ์. (2551). คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดสงขลา. วารสารมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์. 9(3). 94-105.
เจษฎา บุญทา. (2545). คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในตำบลแม่หอพระ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ชุติเดช เจียนดอน และคณะ. (2554). คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชนบท อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา. วารสารสาธารณสุขศาสตร์. 41(3).
ทัศน์วรรณ พันธเสน และกุศยา ลีฬหาวงศ์. (2556). การพัฒนาระบบการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตำบลธัญบุรี อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี. วารสารวิชาการ คณะบริหารธุรกิจ. 8(2). 215-217.
มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย. (2555). รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2553. แหล่งที่มา http://www.dop.go.th/download/knowledge/knowledge_th_20160106141440_1.pdf สืบค้นเมื่อ 24 ส.ค. 2562.
ยุพิน ทรัพย์แก้ว. (2558). การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุด้วยหลักสูตรโรงเรียนผู้สูงอายุของศูนย์ความเป็นเลิศด้านการสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช. วารสารการพยาบาลและการศึกษา. 9(2). 25-39.
ศิรินุช ฉายแสง. (2553). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในจังหวัดอำนาจเจริญ. วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2562). รายงานการศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อการพัฒนาประเทศจากผลการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ.
สำนักงานสถิติจังหวัดนครราชสีมา. (2563). ประชากรจากการทะเบียน จำแนกตามเพศ และหมวดอายุ เป็นรายอำเภอ พ.ศ. 2563. แหล่งที่มา http://nkrat.nso.go.th/index.php?option=com_content&view=category&id=88. สืบค้นเมื่อ 24 ส.ค. 2563.
สุชาดา ทวีสิทธิ์. (2549). ชาติพันธุ์นิพนธ์แนวสตรีนิยม:การท้าทายกระบวนทัศน์ปฏิฐานนิยม. วารสารสังคมศาสตร์. 18(1). 23-57.
สุทธิพงศ์ บุญผดุง. (2554). การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในท้องถิ่นโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง (ระยะที่ 1). รายงานการวิจัย. มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา.
สุปาณี จินาสวัสดิ์. (2559). พฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตำบลวังเหนือ อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง. วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยมหิดล.
สุพร คูหา. (2552). แนวทางการปรับปรุงคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของเทศบาลตำบลหนองขาว อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี. วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
สุภางค์ จันทวานิช. (2547). วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
United Nations. (2010). World Population Prospects in 2010. New York: Population Division, Department of Economic and Social Affairs, United Nations.
World Health Organization. (2014). Global Status Report on Alcohol and Health 2014. Geneva: World Health Organization.
World Health Organization. (1997). Oral Health Surveys: Basic Methods. 4th ed. Geneva: World Health Organization.