การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการเขียนสะกดคำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓

Main Article Content

ณปภัช สถิตยานุรักษ์
กรัณย์พล วิวรรธมงคล
ราตรี แจ่มนิยม

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย และเพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนใช้และหลังการใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and development : R&D)  ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่  3 ที่กำลังเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนวัดเขาน้อย อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรีเขต 1  จำนวน 26 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายโดยการจับสลาก ยกชั้นเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยเพื่อส่งเสริมความสามารถการเขียนสะกดคำ แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน เป็นข้อสอบฉบับเดียวกันแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ข้อสอบมีค่าความเชื่อมั่น 1.00 ค่าความยากง่ายระหว่าง 0.00-0.39 และค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.43 – 0.71 และมีค่าด้านความเชื่อมั่น 0.96 ตามลำดับ  สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ  ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที แบบ Dependent


ผลการวิจัย พบว่า


  1. ผลการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการเขียนสะกดคำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) นำเข้าบทเรียนก่อนเริ่ม 2) อ่านเพิ่มเสริมปัญญา 3) หรรษาแข่งเขียนคำ 4) นำความรู้ไปใช้ 5) คำใหม่คัดตัวบรรจง โดยนำไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องปรับพื้นฐานอ่านเขียนสะกดคำ มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.47/81.92

  2. ความสามารถด้านการเขียนสะกดคำรายวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
สถิตยานุรักษ์ ณ., วิวรรธมงคล ก., & แจ่มนิยม ร. (2019). การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการเขียนสะกดคำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓. วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 6(3), 221–232. สืบค้น จาก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/223943
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กิติยวดี บุญซื่อ. (2540). ทฤษฎีการเรียนรูอย่างมีความสุข. กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหงชาติสํานักนายกรัฐมนตรี.
จารีย์ ขุนชำนาญ. (2559). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain-Based Learning : BBL) วารสารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด,5, 228-234.
ทิศนา แขมมณี. (2554). ศาสตร์การสอนองค์ความรู้เพื่อจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
พงษ์เทพ บุญศรีโรจน์.(2533). เกมกับการเรียนรู้.วารสาร สสวท,69,18-19.
พุทธชาต ทองกร. (2551). นวัตกรรมที่แก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนอ่านภาษาไทย.วารสารวิชาการ, 11, ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน 2551 ค้นจาก http://www.moe.go.th/ moe/th/news/detail.php?NewsID=13652&Key=hotnews
เยาวเรศ ผิวเหมาะ.(2561). การพัฒนารูปแบบการสอนตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ของเยเกอร์ (Yager) โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะการอ่านและการเขียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 .มปท.
เรชา ชูสุวรรณ. (มปป). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดนราธิวาส โดยใช้การจัดการความรู้.มปท.
วิลาวัลย์ กองสะดี. (2552). ปัจจัยที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษารหัส 52 คณะบริหารธุรกิจวิทยาลัยราชพฤกษ์ปี การศึกษา2552.สาขาวิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยราชพฤกษ์.
สมจิต จันทร์ฉาย. (2557). การออกแบบและพัฒนาการเรียนการสอน. นครปฐม : เพชรเกษมพริ้นติ้งกรุ๊ปจำกัด.
สุธีรา เผ่าโภคสถิตย์. (2543). จิตวิทยาทั่วไป.กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แม็ค จำกัด.
อุษา ชูชาติ, และลัดดา อินทร์พิมพ์. (2558). บทวิเคราะห์ : มุมมองด้านการศึกษาของนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา).วารสารวิจัยการศึกษาสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา,3,1-2
เอื้อมพร หลินเจริญ,สิริศักดิ์ อาจวิชัย ,และภีรภา จันทร์อินทร์. (2552). รายงานการวิจัย เรื่องปัจจัยเชิงสาเหตุที่ทําให้คะแนนการทดสอบ O-NET ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ต่ำ.กรุงเทพฯ:สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน).