การประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ตามหลักอิทธิบาท ๔ ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ ๑ กรุงเทพมหานคร
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ตามหลักอิทธิบาท ๔ ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ ๑ กรุงเทพมหานคร ๒) เพื่อเปรียบเทียบความเห็นของผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาเกี่ยวกับการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ตามหลักอิทธิบาท ๔ ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ ๑ กรุงเทพมหานคร และ ๓) เพื่อศึกษาอุปสรรคปัญหาและข้อเสนอแนะการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ตามหลักอิทธิบาท ๔ ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ ๑ กรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และ วิจัยเชิงผสมผสานวิธี โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงสำรวจ โดยจำแนกตาม สถานภาพ วุฒิการศึกษา และ ประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน ๑๒๘ รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมุติฐาน คือการทดสอบที t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียวโดยกำหนดค่าสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .๐๕
ผลการวิจัยพบว่า
๑. ผู้บริหารและครูมีความคิดเห็นต่อการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ตามหลักอิทธิบาท ๔ ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ ๑ กรุงเทพมหานคร ภาพรวม อยู่ในระดับมาก และรายด้านตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้าน A (ACTION) = อิทธิบาท ๔ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๔.๐๔ ด้าน D (DOING)=อิทธิบาท ๔ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๓.๙๗ ด้าน P (PLANING)=อิทธิบาท ๔ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๓.๙๔ ตามลำดับ
๒. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นผู้บริหารและครูที่มีต่อการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ตามหลักอิทธิบาท ๔ ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ ๑กรุงเทพมหานคร ๑) หาค่าที (t-test) จำแนกตามสถานภาพ ภาพรวม และรายข้อ ทุกข้อ พบว่า ผู้บริหารและครูมีความคิดเห็น
ต่อการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ตามหลักอิทธิบาท ๔ ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ ๑ ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ๐.๐๕ ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ๒) หาค่าเอฟ (F-test) จำแนกตามวุฒิการศึกษาภาพรวม และรายข้อ ทุกข้อ พบว่า ผู้บริหารและครูมีความคิดเห็นต่อการประกันคุณภาพการศึกษาตามหลักอิทธิบาท ๔ ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ ๑ ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ๐.๐๕ ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ และ ๓) ค่าเอฟ (F-test) จำแนกตามประสบการณ์ภาพรวม พบว่า ผู้บริหารและครูมีความคิดเห็นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ๐.๐๕
ฉะนั้น ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของระดับความคิดเห็นของผู้บริหารและครูในภาพรวมคือ PDCA = อิทธิบาท ๔ จำแนกตามประสบการณ์การทำงานเป็นรายคู่พบว่า กลุ่มประสบการณ์ต่างๆที่มีระดับความคิดเห็นในภาพรวมคือ PDCA = อิทธิบาท ๔ แตกต่างกันอย่างมีนัยทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ จำนวน ๑ คู่ ได้แก่ กลุ่มประสบการณ์การทำงานตั้งแต่ ๔-๖ ปี มีระดับความคิดเห็นในภาพรวมคือ PDCA = อิทธิบาท ๔ มากกว่ากลุ่มที่มีประสบการณ์การทำงานต่ำกว่า ๓ ปี
๓. การศึกษาอุปสรรคปัญหาและข้อเสนอแนะการงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ตามหลักอิทธิบาท ๔ ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ ๑ กรุงเทพมหานคร
ด้าน P (PLANING) = อิทธิบาท ๔ พบว่า มีปัญหาอุปสรรคด้านการปรับเปลี่ยนการปฏิบัติงานบ่อยและขาดความต่อเนื่องและชัดเจน แนวทางแก้ไขยอมรับการเปลี่ยนแปลง และปรับปรุงงานตามแผนงานที่แก้ไข ด้าน D (DOING) = อิทธิบาท ๔ พบว่ามีปัญหาอุปสรรคการรวมกลุ่มปฏิบัติงานค่อยข้างยากเนื่องจากบุคลากรบางส่วนเป็นอาจารย์พิเศษ ไม่มีการปฏิบัติการประกันคุณภาพภายในอย่างต่อเนื่อง แนวทางแก้ไข สถานศึกษาต้องมีการติดตามตรวจสอบความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการกิจกรรมงานเป็นระยะ มีผู้รับผิดชอบการดำเนินงานเพื่อการรวบรวมสารสนเทศ และผลการติดตามตรวจสอบมาใช้ปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่องนอกจากจะแสดงว่าสถานศึกษาทำงานอย่างเป็นระบบแล้วยังเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมรับการติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษาจากหน่วยงานต้นสังกัด อย่างน้อย ๑ ครั้ง ภายใน ๓ ปีและการประเมินคุณภาพภายนอกอีกด้วย
ด้าน C (CHECKING) = อิทธิบาท ๔ พบว่า มีปัญหาอุปสรรคด้านการขาดความต่อเนื่องและชัดเจนในการติดตามประเมินผล การรายงานผลการประกันคุณภาพภายใน แนวทางแก้ไข ผู้อำนวยการสถานศึกษาต้องตรวจสอบความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการกิจกรรมงานของผู้รับผิดชอบการดำเนินงานเป็นระยะ ตรวจสอบการรวบรวมสารสนเทศ และผลการติดตามตรวจสอบมาใช้ปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่องทุกเดือน
ด้าน A (ACTION) = อิทธิบาท ๔ พบว่า มีปัญหาอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาด้านบกพร่องในการปฏิบัติงานมาแก้ไขยังไม่ต่อเนื่อง แนวทางแก้ไข ผู้อำนวยการสถานศึกษาต้องปรับปรุง แก้ไขการปฏิบัติงานที่พบว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติงาน และมาตรฐานคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ติดตาม ตรวจสอบแก้ไขปรับปรุงการปฏิบัติงานที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติงานและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ตามระยะเวลาที่เหมาะสมที่ผู้ปฏิบัติได้กำหนดไว้ว่าจะแก้ไขเสร็จ ทั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่า ข้อบกพร่องที่พบ ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
Article Details
ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารฉบับนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้นเพียงผู้เดียว และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการคัดเลือกบทความลงตีพิมพ์และจะแจ้งให้เจ้าของบทความทราบหลังจากผู้ประเมินบทความตรวจอ่านบทความแล้ว
ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้ามนำข้อความทั้งหมดหรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยฯ เป็นลายลักษณ์อักษร