แนวทางการส่งเสริมภาวะการออมเงินของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่เป็นสมาชิกโครงการธนาคารโรงเรียน จังหวัดลพบุรี
Main Article Content
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ ๑) ศึกษาระดับภาวะการออมเงินของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่เป็นสมาชิกโครงการธนาคารโรงเรียน จังหวัดลพบุรี ๒) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อระดับการออมเงินของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่เป็นสมาชิกโครงการธนาคารโรงเรียน จังหวัดลพบุรี และ ๓) ศึกษาแนวทางการส่งเสริมการออมเงินของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่เป็นสมาชิกโครงการธนาคารโรงเรียน จังหวัดลพบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ สมาชิกโครงการธนาคารโรงเรียนที่เป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จังหวัดลพบุรี ปีการศึกษา ๒๕๖๐ จำนวน ๒๘๐ คน ด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ผู้ให้ข้อมูลหลักในการสัมภาษณ์ จำนวน ๒๑ คน การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ประกอบด้วย ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย สถิติทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า ๑) ระดับภาวะการออมเงินของนักเรียนที่เป็นสมาชิกโครงการธนาคารโรงเรียนที่เป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ด้านรายได้ต่อเดือน ส่วนใหญ่ มีรายได้ ๕๐๐-๒,๐๐๐ บาท/เดือน ด้านแหล่งที่มาของรายได้ มาจากผู้ปกครอง ด้านสาเหตุของการออมเงิน ออมเพื่อนำเงินไปซื้อของ ด้านความถี่ในการออมเงิน ออมเงิน ๑-๒ ครั้ง/สัปดาห์ ด้านจำนวนเงินกับธนาคารโรงเรียนในแต่ละครั้ง ออมเงิน ไม่เกิน ๑๐ บาท/ครั้ง ด้านสิ่งที่มีส่วนในการตัดสินใจในการออมเงินคือ ตัวเอง ด้านช่วงวันในการออมในแต่ละเดือน ในช่วงวันที่ ๑-๗ ของเดือน ด้านลักษณะในการออมเงินในปัจจุบัน คือ นำเงินส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายมาออม ด้านรูปแบบในการออมเงิน คือ ออมเงินด้วยตนเอง ๒) ปัจจัยด้านการสนับสนุนของครู/อาจารย์ ปัจจัยด้านการสนับสนุนของเจ้าหน้าที่ธนาคารโรงเรียน/ธนาคารออมสินปัจจัยด้านการสนับสนุนจากพ่อแม่/ผู้ปกครอง ปัจจัยจากกลุ่มเพื่อน ปัจจัยด้านทัศนคติเกี่ยวกับการออม มีผลต่อระดับการออมเงินของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่เป็นสมาชิกโครงการธนาคารโรงเรียน ที่แตกต่างกัน ๓) แนวทางการส่งเสริมการออมเงินของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่เป็นสมาชิกโครงการธนาคาโรงเรียน จากการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า ควรมีการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้ทางด้านการประหยัดอดออม รวมทั้งครูต้องมีความรู้ทางการเงิน เช่น การฝึกอบรมเพิ่มความรู้ทางการเงินแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา นอกจากนี้การฝึกฝนให้นักเรียนได้มีทักษะอาชีพเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในการเพิ่มรายได้
Article Details
ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารฉบับนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้นเพียงผู้เดียว และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการคัดเลือกบทความลงตีพิมพ์และจะแจ้งให้เจ้าของบทความทราบหลังจากผู้ประเมินบทความตรวจอ่านบทความแล้ว
ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้ามนำข้อความทั้งหมดหรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยฯ เป็นลายลักษณ์อักษร