รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของศึกษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่อง รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของศึกษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำทางวิชาการของศึกษานิเทศก์ สภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของศึกษานิเทศก์ และ ๒) นำเสนอรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของศึกษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นการวิจัยโดยใช้ระเบียบวิธีเชิงผสม ทั้งการศึกษาเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ศึกษานิเทศก์ และผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน ๓๗๖ คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่มของผู้ทรงคุณวุฒิ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และข้อมูลเชิงปริมาณ สถิติที่ใช้คือค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัย พบว่า ภาวะผู้นำทางวิชาการของศึกษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมี ๗ องค์ประกอบ โดยองค์ประกอบด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน รองลงมา คือ ด้านการส่งเสริมบรรยากาศทางวิชาการ ด้านการทำงานเป็นทีม ด้านการนิเทศการสอน ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ ด้านการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร ตามลำดับ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ด้านการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ และในทุกด้านมีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ในส่วนของสภาพปัญหาของภาวะผู้นำทางวิชาการของศึกษานิเทศก์ พบว่า ศึกษานิเทศก์บางคนไม่มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย ไม่มีเทคนิคในการจูงใจให้ครูมีความศรัทธาในตัวศึกษานิเทศก์ และการทำงานไม่มีการประสานความร่วมมือในการทำงาน และมีความต้องการในการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของศึกษานิเทศก์ให้ได้ตามมาตรฐานวิชาชีพศึกษานิเทศก์ มาตรฐานด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานด้านการปฏิบัติงานและด้านการปฏิบัติตน ในส่วนของรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของศึกษานิเทศก์ ประกอบไปด้วย แนวคิดและหลักการ วัตถุประสงค์ องค์ประกอบภาวะผู้นำทางวิชาการที่ต้องพัฒนา และกระบวนการพัฒนาภาวะผู้นำ สำหรับกระบวนการพัฒนาประกอบด้วย ศึกษาความต้องการ จัดทำหลักสูตรการพัฒนา ดำเนินการพัฒนา และประเมินผลการพัฒนา
Article Details
ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารฉบับนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้นเพียงผู้เดียว และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการคัดเลือกบทความลงตีพิมพ์และจะแจ้งให้เจ้าของบทความทราบหลังจากผู้ประเมินบทความตรวจอ่านบทความแล้ว
ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้ามนำข้อความทั้งหมดหรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยฯ เป็นลายลักษณ์อักษร