MANAGEMENT MODEL OF MEDITATION CENTERS FOR LEARNING CENTERS IN THE DIGITAL AGE ACCORDING TO SAPPAYA 7 PRINCIPLES IN THE SANGHA ADMINISTRATION AREA OF THE NORTHEASTERN REGION
Main Article Content
Abstract
This research article aimed to 1) study the management of meditation centers, 2) develop a management model of meditation centers based on the 7 Sapp ya principles, and 3) evaluate the management model of meditation centers based on the 7 Sapp ya principles. This research was a mixed-methods research. The quantitative research used a questionnaire with a sample of 364 monks/people. The qualitative research used interviewed with the target group and group discussions. The research instruments were questionnaires, interview forms, and group discussion manuals. The research data were analyzed using frequency, percentage, mean, standard deviation, and content analysis. The results of the research found that 1) the management of meditation centers in the northeastern Sangha administration area, overall and in each aspect, were at a high level in all 5 aspects: building management, administration and communication management, organization management, and service supervision management, human resources management, respectively. 2) Management model of meditation centers according to the principles of 7 Sapp ya, consisting of 5 components: (1) principles, concepts (2) objectives, (3) content, (4) integration with the principles of 7 Sapp ya, (5) expected results and 3) results of evaluation of the management model of meditation centers according to the principles of 7 Sapp ya, overall was at a high level. The summary of knowledge from the research was "PS".
Article Details
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารฉบับนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้นเพียงผู้เดียว และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการคัดเลือกบทความลงตีพิมพ์และจะแจ้งให้เจ้าของบทความทราบหลังจากผู้ประเมินบทความตรวจอ่านบทความแล้ว
ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้ามนำข้อความทั้งหมดหรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยฯ เป็นลายลักษณ์อักษร
References
กระทรวงมหาดไทย. (2564). จำนวนวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. แหล่งที่มา https://edw-opendata.moi.go.th/dataset/page/602f224159e311fb6c2398c6931fc0c50a6f1e0dbf4c9 สืบค้นเมื่อ 22 ส.ค. 2565.
ปริญญ์ ทนันชัยบุตร. (2553). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ทัศนศิลป์เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต. มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
พระครูวัฒนสุตานุกูล. (2557). กระบวนการพัฒนาวัดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของคณะสงฆ์ไทย. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พระครูวิโรจน์เขมคุณ (ไพโรจน์ เขมจิตฺโต). (2563). รูปแบบการบริหารสำนักปฏิบัติธรรมตามหลักสัปปายะ 4 ในจังหวัดสิงห์บุรี. วารสารสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยาเชิงพุทธ. 5(5). 13.
พระมหาขวัญ ถิรมโน. (2553). วัดอรุณราชวราราม: บทบาทการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของวัดที่ส่งผลต่อศรัทธาของประชาชน. ดุษฎีนิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
วิวัฒน์ชัย บุญยภักดิ์. (2531). วัด: จำเป็นอย่างไรจะต้องมีคู่มือพัฒนา. จุลสารการท่องเที่ยว. 7 (1). 74-76.
ศรินทิพย์ สถีรศิลปิน และคณะ. (2548). รูปแบบการจัดการศึกษาและการเผยแผ่ศาสนธรรมของวัดในพระพุทธศาสนากรณีศึกษาวัดราชโอรสารามเขตจอมทองกรุงเทพมหานคร. รายงานการวิจัย.กรุงเทพมหานคร: ภาพพิมพ์.
Apapirom, A. (1978). Social and Thai Culture. Bangkok: Bumrungnukulkit Printing.
Phramaha Suthit Aphakaro. (2011). The Model and Learning Network of Buddhist Temples Tourism in Thailand. Bangkok: The Thailand Research Fund.
Pintamul, P. (2017). Management Corporate Social Responsibility According to the Buddhist Monks of Thailand for Community and Society. Journal of Arts Management. 1(2). 119-128.