การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้านจิตอาสาในการเรียนสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายอำเภอโพนพิสัยจังหวัดหนองคาย
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่อง การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้านจิตอาสาในการเรียนสาระสังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรมระดับมัธยมศึกษาตอนปลายอำเภอโพนพิสัยจังหวัดหนองคายมีวัตถุประสงค์
เพื่อเสนอแนะแนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้านจิตอาสาในการเรียนสาระสังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรมโดยใช้การวิจัยแบบผสมผสาน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้จำนวน ๒,๕๘๑
คนโดยสุ่มตัวอย่างแบบง่ายและแบบลำดับขั้นโดยตารางของยามาเน่จำนวน ๓๔๗ คนโดยใช้สถิติ
ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบค่า (t-test) ในกรณีตัวแปร
ต้นสองกลุ่มและการทดสอบค่า (ANOVA) เมื่อพบว่ามีความแตกต่างจะทำการเปรียบเทียบความ
แตกต่างรายคู่ดังกล่าว
ผลการวิจัยพบว่า
๑. การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้านจิตอาสาในการเรียนสาระสังคมศึกษาศาสนาและ
วัฒนธรรมโดยภาพรวมทั้ง ๕ ด้าน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก
๒. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้านจิตอาสาในการ
เรียนสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมจำแนกตามเพศโดยการทดสอบค่าทีโดยภาพรวมพบว่าไม่
แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้จำแนกตาม
ระดับชั้นเรียนและขนาดโรงเรียนโดยภาพรวมพบว่าไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
๐.๐๕ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
๓. เสนอแนะแนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้านจิตอาสาในการเรียนสาระสังคม
ศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมมีการบูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆเปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมคิด
วิเคราะห์และเสนอแนะกิจกรรมการเรียนรู้เน้นกิจกรรมในการฝึกและปฏิบัติภาคสนามมีสื่อหรือ
เทคโนโลยีที่หลากหลายและทันสมัยเหมาะสมในการจัดการเรียนการสอนมีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิหรือ
ผู้รู้เฉพาะทางในชุมชนเข้าร่วมส่งเสริมให้ความรู้การวัดผลและการประเมินผลควรครอบคลุมทั้งด้าน
ความรู้เจตคติจิตอาสาและการปฏิบัติและหลากหลายวิธีเหมาะสมกับเนื้อหาวิชา
Article Details
ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารฉบับนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้นเพียงผู้เดียว และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการคัดเลือกบทความลงตีพิมพ์และจะแจ้งให้เจ้าของบทความทราบหลังจากผู้ประเมินบทความตรวจอ่านบทความแล้ว
ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้ามนำข้อความทั้งหมดหรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยฯ เป็นลายลักษณ์อักษร