กระบวนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาเจตคติของนักเรียนที่มีต่อการเรียนวิชาภาษาไทย : กรณีศึกษาครูโรงเรียนเทศบาลสวนสนุก
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนา เจตคติของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ในวิชาภาษาไทย และเพื่อศึกษาเจตคติของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนวิชาภาษาไทย กลุ่มเป้าหมายของการศึกษาได้แก่ ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย จำนวน 1 คน และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนเทศบาลสวนสนุก อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จำนวน 45 คน รูปแบบการวิจัยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสังเกตกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครู 2) แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน 3) แบบสัมภาษณ์ครูผู้สอน 4) แบบสัมภาษณ์นักเรียน 5) แบบวัดเจตคติของนักเรียนที่มีต่อการเรียนวิชาภาษาไทย วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์โพรโทคอล (Protocol) และวิเคราะห์เชิงบรรยาย
ผลการวิจัยพบว่า ครูมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นวิเคราะห์หลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด 2) ขั้นวิเคราะห์ผู้เรียนและออกแบบการจัดการเรียนรู้ 3) ขั้นการจัดการเรียนรู้ (ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน, ขั้นจัดการเรียนการสอน, ขั้นสรุปผลการจัดการเรียนรู้, ขั้นวัดผลประเมินผล, ขั้นส่งเสริมการเรียนรู้) และ 4) ขั้นสะท้อนผลการเรียนรู้และเจตคติของนักเรียน โดยครูผู้สอนมีวิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายไม่น่าเบื่อ มีวิธีการเข้าถึงนักเรียน เข้าใจในศักยภาพของนักเรียนแต่ละคน คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ทำให้นักเรียนรู้สึกอบอุ่น และรักตัวครูผู้สอน ช่วยให้นักเรียนมีความตั้งใจเรียนมากยิ่งขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออกมากยิ่งขึ้น และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สามารถสรุปผลการวิจัยด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูได้คือ การให้กำลังใจและการเสริมแรงบวกให้กับนักเรียนในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทุกขั้นตอน จึงทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และเกิดเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาภาษาไทย และผลจากการวัดเจตคติในการเรียนวิชาภาษาไทยนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 จำนวน 45 คน พบว่า ผลการวัดเจตคติที่มีต่อการเรียนวิชาภาษาไทย หลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนเทศบาลสวนสนุก นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาภาษาไทยทุกด้านตามแบบวัด เจตคติหลังเรียน ซึ่งด้านที่สูงที่สุดได้แก่ ด้านครูผู้สอนวิชาภาษาไทย ด้านเจตคติที่มีต่อกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย และด้านเนื้อหาวิชาภาษาไทย
Article Details
References
ธนปกรณ์ ป้องศรี. (2560). วิธีการจัดการเรียนรู้ของครูที่ใช้การศึกษาชั้นเรียนและวิธีการแบบเปิดเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3.ขอนแก่น: คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ผดุง อารยะวิญญู.การศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ.กรุงเทพฯ:คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร.
ประโยชน์ คุปต์กาญจนากุลและณัฐวุฒิ สุวรรณทิพย์. (2552). “วิกฤติคุณภาพการศึกษาไทยบนเส้นทางปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่2,” (8 พฤศจิกายน 2552). มติชนรายวัน.การศึกษา, หน้า11- 12.
พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และคณะ. (2548). การเรียนรู้เชิงรุกแบบรวมพลังกับ PLC เพื่อการพัฒนา.กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ไพฑูรย์ สินลารัตน์ และคณะ. (2559). การศึกษา 4.0 เป็นยิ่งกว่าการศึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ และคณะ. (2546). การวิจัยเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐานเอกสารประกอบการรายงานวิจัยเรื่องการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ในโรงเรียนโดยเน้นกระบวนการทาง
คณิตศาสตร์. ขอนแก่น : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
________. (2547). การสอนโดยใช้วิธีการเปิดในชั้นเรียนคณิตศาสตร์ของญี่ปุ่น. วารสารคณิตศาสตร์ศึกษา, 2(5), 30-35.
วัชระ แสนขันธ์. (2559). แนวทางการพัฒนาการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการ
ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
พิกุล ธรรมลังกาบ.(2550).เจตคติของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมโดยวิทยากรท้องถิ่นในกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ช่วงชั้นที่ 2 โรงเรียนอนุบาลเชียงราย. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย.
เทพี วรรณวงศ์. (2545).ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการเรียนการสอนของครู กลุ่มสร้างเสริมประสบการณืชีวิต ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี.