การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในพื้นที่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ในจังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดลำปาง และจังหวัดสุโขทัย
คำสำคัญ:
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม, การส่งเสริมต้นทุนทางวัฒนธรรมบทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยในครั้งนี้เพื่อนำทุนทางวัฒนธรรมมาส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดลำปางและจังหวัดสุโขทัย โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ในการเก็บข้อมูล ผลการวิจัยพบดังนี้
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลของงานวิจัยเชิงปริมาณพบว่าข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 400 คน แยกผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็น 3 จังหวัด ดังนี้
จังหวัดกำแพงเพชร ผลการวิเคราะห์ ค่าเฉลี่ยผลรวม 4.40 ค่าเฉลี่ยสูงสุดรายข้อ คือ ภายในจังหวัดมีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สามารถนำมาเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้ ค่าเฉลี่ย 4.76 ในส่วนของจังหวัดลำปาง ค่าเฉลี่ยผลรวม 4.22 ค่าเฉลี่ยสูงสุดรายข้อ คือ ควรมีการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมภายในจังหวัด ค่าเฉลี่ย 4.60และในจังหวัดสุโขทัยผลการวิเคราะห์ คือ มีค่าเฉลี่ยผลรวม 4.23 ค่าเฉลี่ยสูงสุดรายข้อ คือ ภายในจังหวัดมีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สามารถนำมาเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้พบมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.70
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลของงานวิจัยเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างถึงแนวทางในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ใน 3 จังหวัด ประกอบด้วย นักท่องเที่ยว หัวหน้าและผู้บริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในบ่อน้ำพุร้อนพระร่วงจังหวัดกำแพงเพชร น้ำพุร้อนแจ้ซ้อนจังหวัดลำปางและอุทยานแห่งชาติเขาหลวงจังหวัดสุโขทัย รวมทั้งสิ้น 9 คน โดยการมีส่วนร่วมของปราชญ์ชุมชนและคนในชุมชน โดยสามารถเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพภายในพื้นที่กับแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพและโอกาสเชิงพื้นที่พบแนวทางในการพัฒนาการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 3 ด้าน คือ ด้านส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้านการพัฒนาชุมชนท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวและด้านการพัฒนาการตลาดและการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวซึ่งทั้ง 3 ด้านนี้จะก่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดแหล่งท่องเที่ยวภายในพื้นที่สู่ความยั่งยืน
Downloads
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม.(2562). ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 20 มกราคม 2563 จาก
https://www.antifakenewscenter.com/.
กัลยา วานิชย์บัญชา. (2549). สถิติสำหรับงานวิจัย (พิมพ์ครั้งที่ 2). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร.
เกลียวพันธ์ ลีละศร (2561). ว่าด้วย Fake News. สืบค้นเมื่อ 30 เมษายน 2565 จาก
https://www.secnia.go.th/2019/10/15/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9% 89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-fake-news/.
ณัฎฐพัชร์ ซ่อนกลิ่น. (2565). ข่าวปลอมในแอปพลิเคชันไลน์ของผู้สูงอายุที่เป็นสมาชิกอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จังหวัดปราจีนบุรี. วิทยานิพนธ์
นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมการสื่อสารทางการเมืองและสังคม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา.
นันทิกา หนูสม และวิโรจน์ สุทธิสีมา. (2562). ลักษณะของข่าวปลอมในประเทศไทยและระดับความรู้เท่าทันข่าวปลอมบนเฟซบุ๊กของผู้รับสารในเขต
กรุงเทพมหานคร. Journal of Communication Arts, 37(1), 37-45.
นันทิกา หนูสม. (2561). ลักษณะของข่าวปลอมในประเทศไทยและระดับความรู้เท่าทันข่าวปลอมบนเฟชบุ๊กของผู้รับสารในเขตกรุงเทพมหานคร. การศึกษาอิสระ
นิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพ.
ผู้จัดการออนไลน์. (2563). คลายล็อกเฟส 3 คนไทยรู้สึก “เครียด-หมดไฟ-ซึมเศร้า-อยากทำร้ายตัวเอง” เพิ่มขึ้นสืบค้นเมื่อ 30 เมษายน 2566
จากhttps://mgronline.com/qol/detail/9630000062630#google_vignette.
วรพล กิตติรัตวรางกูร. (2564). ยกระดับสกัด ข่าวปลอม - Fake News. สืบค้นเมื่อ 30 เมษายน 2566,
จากhttps://www.thaipost.net/main/detail/103019
Roozenbeek, J., Schneider, C. R., Dryhurst, S., Kerr, J., Freeman, A. L. J., Recchia, G., ... & van der Linden, S. (2020). Susceptibility to
misinformation about COVID-19 around the world. Royal Society Open Science, 7(10), 201199.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ข้อความลิขสิทธิ์
