https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/issue/feed
วารสารชัยภูมิปริทรรศน์
2024-10-08T02:42:04+07:00
พระศรีสัจญาณมุนี, ผศ. ดร.
Sumin.yati@mcu.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารชัยภูมิปริทรรศน์เป็นวารสารวิชาการ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย บทความพิเศษ บทความวิชาการ บทความปริทรรศน์ บทวิจารณ์หนังสือ และปกิณกะ แก่ นักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา โดยที่ครอบคลุมเนื้อหาในมิติทางด้านพระพุทธศาสนา ที่เกี่ยวข้องกับสาขาพระพุทธศาสนา ปรัชญา กฎหมาย การศึกษารัฐศาสตร์ การปกครอง ศิลปะวัฒนธรรมและประเพณี ทั้งพระพุทธศาสนาแนวคัมภีร์ และพระพุทธศาสนาแนวประยุกต์กับศาสตร์สมัยใหม่</p> <p>วารสารชัยภูมิปริทรรศน์ มีกำหนดออกเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ</p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน</p> <p>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม</p> <p>ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม</p>
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/272502
การจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยชุมชนสู่วิถีที่ยั่งยืนบ้านไผ่หูช้าง อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม
2024-08-02T01:56:40+07:00
โชติมา ดีพลพันธ์
peeup@hotmail.com
ชนิษฐา ใจเป็ง
peeup@hotmail.com
<p>บทความวิชาการนี้เป็นการนำเสนอแนวคิดการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยชุมชนสู่วิถีที่ยั่งยืน บ้านไผ่หูช้าง อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจะต้องสามารถตอบสนองความต้องการหรือสร้างความพึงพอใจให้กับนักท่องเที่ยวและผู้คนในท้องถิ่น โดยเป็นการท่องเที่ยวที่สนับสนุนให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการวางแผน ตัดสินใจและพัฒนาชุมชนของตนเอง เพื่อเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีของคนในชุมชนทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนสู่วิถีที่ยั่งยืนนั้น จะต้องให้ความสำคัญเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในมิติที่หลากหลาย ได้แก่ มิติธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น รักษาระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น มิติทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น การเคารพวัฒนธรรม สร้างความเข้าใจอันดีระหว่างพหุวัฒนธรรม เป็นต้น มิติทางเศรษฐกิจ เช่น การกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนดำเนินไปสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนต่อไป</p>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/271878
แนวทางการพิจารณาอภิณหปัจจเวกขณ์เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา
2024-07-22T11:55:26+07:00
พระมหาสมพร พุทฺธวีโร (เกลี้ยงพร้อม)
ninesomps@hotmail.com
<p>บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “การพิจารณาอภิณหปัจจเวกขณ์เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอภิณหปัจจเวกขณ์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อเสนอแนวทางการพิจารณาอภิณหปัจจเวกขณ์เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติ โดยมีระเบียบการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. อภิณหปัจจเวกขณ์ เป็นการพิจารณาความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ และการพิจารณากรรมของตนให้เห็นรูปนามตามความเป็นจริงว่า “เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เรากระทำกรรมใดไว้ จะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่วก็ตาม จักต้องเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้น” มีองค์ธรรมหลัก 3 ประการ คือ ความเพียร สติ และปัญญา 2. ข้อศึกษาพระพุทธศาสนา มี 3 ประการ คือ (1) อธิศีล ได้แก่ ข้อปฏิบัติเพื่อชำระกาย และวาจาให้เรียบร้อย (2) อธิจิต ได้แก่ ข้อปฏิบัติทำจิตใจให้สงบ (3) อธิปัญญา ได้แก่ ข้อปฏิบัติเพื่อเห็นรูปนามตามความเป็นจริง สามารถหยั่งเห็นอริยสัจ 4 อันเป็นหนทางนำไปสู่ความดับทุกข์อย่างถาวร 3. การพิจารณาอภิณหปัจจเวกขณ์ มี 3 ระดับ คือ (1) ระดับพิจารณาเพื่อป้องกันภัย (2) ระดับพิจารณาเพื่อละความมัวเมาต่าง ๆ และ (3) ระดับพิจารณาเพื่อเห็นอริยสัจ 4 อันเป็นหนทางนำไปสู่ความดับกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง</p>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/271814
การศึกษาเชิงวิเคราะห์ชาดกตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท ที่ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท
2024-07-04T08:56:04+07:00
กมล บุตรชารี
surisa.wut@mbu.ac.th
วิเศษ เสาะพบดี
veesaad@hotmail.com
สมิตไธร อภิวัฒนอมรกุล
surisa.wut@mbu.ac.th
จรูญศักดิ์ แพง
veesaad@hotmail.com
ณรงศักดิ์ ลุนสำโรง
veesaad@hotmail.com
<p>บทความวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาชาดกในพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาที่มาและมูลเหตุของชาดกที่ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท 3) เพื่อวิเคราะห์ชาดกตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาทที่ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท วิธีการวิจัยเป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Sources) ใช้การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มเป้าหมายที่ให้ข้อมูล 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) คณาจารย์ คณะศาสนาและปรัชญา จำนวน 3 รูป/คน 2) คณาจารย์ที่เป็นเปรียญธรรม เก้า ประโยค จำนวน 2 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และการเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Sources) ใช้วิธีการเก็บและรวบรวมข้อมูลโดยการวิจัยทางเอกสาร โดยเอกสารข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นผลงานวิจัย วิทยานิพนธ์ วารสาร หนังสือพิมพ์ บทความ และเอกสารทางวิชาการ รวมทั้งข้อมูลที่รวบรวมจากอินเตอร์เน็ต ที่เกี่ยวข้องกับชาดกในอรรถกถาธรรมบท การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> 1. ชาดกเป็นการกล่าวถึงการเกิดขึ้นและเส้นทางการเดินของพระโพธิสัตว์ในการเป็นพระพุทธเจ้าผ่านชาติต่าง ๆ โดยแสดงถึงความพยายามในการทำความดีและบำเพ็ญธรรมตลอดเวลา 2. พระพุทธองค์ทรงนำชาดกมาใช้ประกอบการบรรยายเพื่อสอนและแสดงแนวคิดที่มีความหมายที่ลึกซึ้งสอนให้รู้เรื่องหลากหลายเกี่ยวกับชีวิตและการแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เข้าใจหลักการในดำเนินชีวิต 3. อภิปรัชญาทำให้เข้าใจแนวคิดเชิงลึกเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด กรรม และการหลุดพ้นจากทุกข์ ญาณวิทยาทำให้เห็นภาพชัดเจนของวิธีที่พระโพธิสัตว์แสวงหาความรู้ พิสูจน์ความจริง และพัฒนาความรู้เพื่อการบรรลุธรรมและหลุดพ้นจากทุกข์ คุณวิทยาทำให้เข้าใจคุณค่าทางศีลธรรมและคุณธรรมที่พระโพธิสัตว์ยึดถือและปฏิบัติ</p>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/271562
การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วมของประชาชนในอำเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา
2024-07-03T10:58:52+07:00
พระต๋อง จิตฺตทนฺโต บรรจง
morakot.kot14@gmail.com
พระนรินทร์ เอมพันธ์ ผศ.ดร.
narinpempa123@gmail.com
ไพทูรย์ มาเมือง
narinemphan2521@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ คือ 1. เพื่อศึกษาระดับการบูรณาการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วมของประชาชนในอำเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา<br>2. เพื่อเปรียบเทียบการบูรณาการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วมของประชาชนในอำเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3. เพื่อนำเสนอการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วมของประชาชนในอำเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา โดยการประยุกต์ตามหลักอิทธิบาทธรรม โดยมีระเบียบวิธีวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าทีเทส ค่าเอฟเทส และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการพรรณนาความ</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">1. ระดับการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง โดยรวมอยู่ในระดับมาก (=3.89) จำแนกเป็นรายด้าน คือ ด้านตะหนักในผลกระทบของนโยบาย (=3.99) ด้านความสำนึกในหน้าที่ของพลเมือง (=3.89) ด้านการมีส่วนร่วมทางการเมืองสูง (=3.88) และด้านมีความสนใจต่อกิจกรรมทางการเมือง (=3.79) ตามลำดับ</li> <li class="show">ผลการเปรียบเทียบ พบว่า ประชาชนที่มีเพศต่างกันมีความคิดเห็น ไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานการวิจัย ส่วนประชาชนที่มีอายุ การศึกษา อาชีพ และรายได้ต่างกันมีความคิดเห็น แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย</li> <li class="show">ผลการนำเสนอ พบว่า 1) ด้านการมีส่วนร่วมทางการเมืองสูง ประชาชนควรเสียสละและการสนับสนุนทางการเมือง 2) ด้านความสำนึกในหน้าที่ของพลเมือง ประชาชนควรแสดงไมตรีและความหวังดีต่อเพื่อนร่วมงาน 3) ด้านตะหนักในผลกระทบของนโยบาย ประชาชนควรมีจิตสาธารณะ และ 4) ด้านมีความสนใจต่อกิจกรรมทางการเมือง ประชาชนควรมีจิตสำนึกให้กับชุมชน สังคม ให้รับรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ของตัวเอง</li> </ol>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/271867
การพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะให้เป็นศูนย์ ตำบลโนนทองหลาง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
2024-07-22T20:18:38+07:00
พระนรินทร์ เอมพันธ์ ผศ.ดร.
narinpempa123@gmail.com
พระมหามรกต ธมฺมปาโล (พิรักษา)
narinpempa123@gmail.com
พระปลัดณรงค์เดช อธิมุตฺโต (เดชาดิลก)
narinpempa123@gmail.com
สุรศักดิ์ พันธุ์สง่า
narinpempa123@gmail.com
สมศักดิ์ บัวอ่อน
narinpempa123@gmail.com
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะให้เป็นศูนย์ตำบลโนนทองหลาง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา 2. เพื่อเสริมสร้างการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะให้เป็นศูนย์ตามหลักอิทธิบาทธรรมตำบลโนนทองหลาง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา และ 3. เพื่อจัดทำคู่มือการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะให้เป็นศูนย์ตำบลโนนทองหลาง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญ จำนวน 15 รูปหรือคน ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก และการวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 399 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการพรรณนาความ</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">กระบวนการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะให้เป็นศูนย์ แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ 1) ด้านการตัดสินใจ 2) ด้านการดำเนินงาน 3) ด้านการรับผลประโยชน์ และ <br>4) ด้านการติดตามและประเมินผล 2. การเสริมสร้างการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะให้เป็นศูนย์ตามหลักอิทธิบาทธรรม 4 ประการ คือ 1) ด้านฉันทะ ความพอใจยินดีในการจัดการขยะ 2) ด้านวิริยะ มุ่งมั่นผลักดันพยายามในการจัดการขยะ 3) ด้านจิตตะ ตั้งมั่นติดตามในการจัดการขยะ และ 4) ด้านวิมังสา การพิจารณาไตร่ตรองใคร่ครวญในการจัดการขยะ 3. การจัดทำคู่มือการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะให้เป็นศูนย์ จากการลงพื้นที่ในการจัดกิจกรรม สามารถสร้างผู้นำท้องถิ่นและประชาชนในระดับที่เป็นต้นแบบในการจัดการขยะ และได้ผู้นำท้องถิ่นและประชาชนซึ่งเป็นที่ยอมรับและเคารพศรัทธาของประชาชน แล้วนำมาจัดทำเป็นคู่มือ <br>จะเห็นได้ว่าการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะให้เป็นศูนย์เป็นสิ่งที่สำคัญในโลกยุคปัจจุบัน คือ ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์</li> </ol>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/271475
การประยุกต์หลักฆราวาสธรรมเพื่อส่งเสริมจริยธรรมของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลในอำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
2024-07-03T11:02:32+07:00
พระบัณฑิต ปญญาปสุโต (ไชยชนะวงศ์)
21423oppo@gmail.com
พระนรินทร์ เอมพันธ์ ผศ.ดร.
narinpempa123@gmail.com
สุเนตร ธนศิลปพิชิต
21423oppo@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ คือ 1. เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นของประชาชนต่อการส่งเสริมจริยธรรมของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลในอำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา 2. เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการส่งเสริมจริยธรรมของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลในอำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3. เพื่อนำเสนอการประยุกต์หลักฆราวาสธรรมเพื่อส่งเสริมจริยธรรมของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลในอำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา โดยมีระเบียบวิธีวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญจำนวน 9 รูปหรือคน ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก และการวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 399 คน จากประชากรทั้งเพศชายและเพศหญิงที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีทะเบียนราษฎรอยู่ในอำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 83,760 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าทีเทส ค่าเอฟเทส และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการพรรณนาความ</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> 1. ระดับพบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( =3.92) เมื่อจำแนกเป็นรายด้านดังต่อไปนี้ คือ ด้านปัญญา ( =4.09) ด้านความกล้าหาร ( =3.92) ด้านความรู้จักประมาณ ( =3.88) และด้านความยุติธรรม ( =3.78) ตามลำดับ 2. ผลการเปรียบเทียบพบว่า ประชาชนที่มีเพศต่างกันมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานการวิจัย ส่วนประชาชนที่มีอายุ อาชีพ การศึกษา และรายได้ต่างกันมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย 3. ผลการนำเสนอ พบว่า 1) ด้านปัญญา ผู้บริหาร ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีมีความซื่อตรงตามหลักนิติธรรม 2) ด้านความกล้าหาญ ผู้บริหารเป็นที่ไว้วางใจของชุมชน 3) ด้านความรู้จักประมาณ ควรตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ตรงจุด และ 4) ด้านความยุติธรรม ปฏิบัติราชการตามภารกิจด้วยความโปร่งใส</p>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/271502
การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนต่อองค์การบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลโนนทองหลาง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
2024-07-22T19:42:01+07:00
พระมหาโกสินทร์ สิริปุญฺโญ (ภูมิไธสง)
kosinpoomthaisong@gmail.com
พระนรินทร์ เอมพันธ์ ผศ.ดร.
narinpempa123@gmail.com
ไพทูรย์ มาเมือง
kosinpoomthaisong@gmail.com
<p>การวิจัยเรื่อง“การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนต่อองค์การบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลโนนทองหลาง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา” มีวัตถุประสงค์ในการวิจัย ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนต่อองค์การบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลโนนทองหลาง 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนต่อองค์การบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลโนนทองหลาง โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เพื่อนำเสนอการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนต่อองค์การบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลโนนทองหลาง โดยการประยุกต์ตามหลักพุทธธรรม โดยมีระเบียบวิธีวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าทีเทส ค่าเอฟเทส และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการพรรณนาความ</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> 1. พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.14) จำแนกเป็นรายด้านดังนี้ คือ ด้านการรับผลประโยชน์ ( = 4.30) ด้านการดำเนินงาน ( = 4.19) ด้านการติดตามและประเมินผล( = 4.19) และด้านการตัดสินใจ ( = 3.93) ตามลำดับ 2. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบ พบว่า นักเรียนที่มีเพศต่างกันมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน ส่วนประชาชนที่มีอายุ การศึกษา อาชีพ และรายได้ต่างกัน มีความคิดเห็นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย 3. ผลการวิเคราะห์การนำเสนอ พบว่า 1) ด้านฉันทะ ประชาชนมีความพอใจยินดีที่จะบริหารจัดการท้องถิ่น 2) ด้านวิริยะ ความมุ่งมั่นผลักดันพยายาม 3) ด้านจิตตะ ความตั้งมั่นติดตาม นักการเมืองท้องถิ่นควรมีการรายงานผลที่ชัดเจนและเป็นระบบ 4) วิมังสา การพิจารณาไตร่ตรองใคร่ครวญ</p>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/272237
การบริหารจัดการเครือข่ายป่าชุมชน: ศึกษากรณีป่าชุมชนเขาวง ตำบลวังตะเฆ่ อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ
2024-07-27T07:53:35+07:00
พระมหานราวิชญ์ โสภารักษ์
narawitsoparuk2539@gmail.com
กัลยา แซ่อั้ง
narawitsoparuk2539@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษากระบวนการบริหารจัดการเครือข่ายป่าชุมชนเขาวง (2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการดำเนินงานเครือข่ายป่าชุมชนเขาวง และ (3) เพื่อศึกษาเงื่อนไขแห่งความสำเร็จในการบริหารจัดการเครือข่ายป่าชุมชนเขาวง โดยใช้แนวทางการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลจากการค้นคว้าข้อมูลเอกสารและการสัมภาษณ์กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ 1) กลุ่มสมาชิกเครือข่ายภาคประชาชนจากชุมชนรอบแนวเขตป่าชุมชนเขาวง ได้แก่ ผู้นำชุมชน ทั้ง 5 หมู่บ้าน 2) กลุ่มบุคลากรจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ บุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลวังตะเฆ่ และ 3) กลุ่มบุคลากรจากองค์กรภาครัฐส่วนกลาง ได้แก่ บุคลากรกรมป่าไม้ บุคลากรกรมอุทยาน สัตว์ป่าและพันธุ์พืช รวมถึงจากสถานศึกษา ผลการศึกษาพบว่า การบริหารจัดการเครือข่ายป่าชุมชนเขาวง มีการดำเนินกิจกรรมในแต่ละด้านของกลุ่มของตัวแสดงในเครือข่าย ประกอบไปด้วย ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น และกลุ่มองค์กรภาครัฐ ที่มีบทบาทในการบริหารจัดการเครือข่ายป่าชุมชนเขาวง เป็นความสัมพันธ์ในแนวราบ การจัดโครงสร้างการทำงานเป็นไปตามศักยภาพของตัวแสดงและบริบทของพื้นที่ มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนของสังคมในลักษณะของเครือข่ายเชิงพื้นที่และเครือข่ายเชิงประเด็นกิจกรรม ความร่วมมือที่เกิดขึ้น คือ การดำเนินกิจกรรมด้านการดูแลรักษาป่า ป้องกันไฟป่า และกิจกรรมด้านการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ผ่านการแลกเปลี่ยนทรัพยากรและการเกื้อหนุนพึ่งพากัน มีการกำหนดจุดมุ่งหมายร่วมกันซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการทำงานในรูปแบบเครือข่ายที่นำไปสู่ความสำเร็จ สำหรับประสิทธิผลของการบริหารจัดการเครือข่าย พบว่า 1) เกิดกระบวนการเรียนรู้ 2) การเพิ่มโอกาสในการแก้ไขปัญหา 3) เกิดการจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น และ 4) เกิดกระบวนการผลักดันเชิงนโยบาย นอกจากนี้ ยังพบปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารจัดการเครือข่าย ได้แก่ 1) ความสามัคคีของสมาชิกป่าชุมชนเขาวง ทั้ง 5 ชุมชน 2) การสนับสนุนและการประสานงานจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 3) การส่งเสริมและการให้คำปรึกษาจากองค์กรภาครัฐ</p>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/272629
ศึกษาแนวทางปฏิบัติเพื่อข้ามพ้นสังสารวัฏตามหลักพระพุทธศาสนา
2024-08-11T11:25:44+07:00
พระวิจิตตะ พระวิจิตตะ
Phrawicitwicitto@gmail.com
พระศรีสัจญาณมุนี พระศรีสัจญาณมุนี
Phrawicitwicitto@gmail.com
พูนศักดิ์ กมล
Phrawicitwicitto@gmail.com
<p>การศึกษาวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) ศึกษาสังสารวัฏของตามหลักไตรสิกขา2) เพื่อศึกษาหลักปฏิบัติสำหรับข้ามพ้นสังสารวัฏตามหลักพระพุทธศาสนา 3) เพื่อเสนอแนวทางการปฏิบัติเพื่อข้ามพ้นสังสารวัฏตามหลักไตรสิกขา โดยศึกษาจากพระไตรปิฎก คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เอกสารงานวิชาการทางพระพุทธศาสนา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยวิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สังสารวัฏตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา คือหลักคำสอนว่าด้วยเรื่องของกฎธรรมชาติที่มีอยู่ คือการเวียนว่ายตายเกิดของเหล่าสรรพสัตว์ในภพภูมิต่าง ๆ อันไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ยังมีมีกิเลสหนาอยู่ก็ย่อมมีโอกาสกระทำกรรมชั่วบ้าง ทำกรรมดีบ้าง ชีวิตก็จะเวียนว่ายตายเกิดและรับผลแห่งการกระทำของตนในสังสารวัฏ จะสิ้นสุดได้ก็ต่อเมื่อได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว</p> <p>การตัดสังสารวัฏนั้นต้องอาศัยหลักธรรม 2 ประการได้แก่ 1 หลักไตรสิกขา 3 อันได้แก่ ศีล เป็นเครื่องฝึกพฤติกรรม สมาธิ เป็นเครื่องฝึกจิต และปัญญา เป็นเครื่องฝึกรู้เท่าทันธรรมดาของโลกและชีวิต ประการที่ 2) อริยสัจ 4 คือ ทุกข์ ได้แก่ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์ในรูปของความบีบคั้น สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ หรือภาวะที่สิ้นปัญหา และมรรค ได้แก่ มรรคาอันนำไปสู่ความดับทุกข์ กล่าวคือ มรรคมีองค์ 8 ประการ</p> <p>แนวทางการปฏิบัติเพื่อข้ามพ้นสังสารวัฏตามหลักไตรสิกขาและอริยสัจ 4 คือการพัฒนาจิตให้พ้นจากอกุศลกรรม เพื่อบรรลุพระนิพานอันเป็นบรมธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ อันเป็นแนวทางปฏิบัติที่ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะสังสารวัฏไม่มีที่สิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกทั้งหลาย การข้ามพ้นสังสารวัฏต้องปฏิบัติตามหลักไตรสิกขาและอริยสัจ 4</p>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/272234
การบริหารงานของคลินิกเลิกบุหรี่ในโรงพยาบาลสงฆ์
2024-08-15T00:04:03+07:00
พระวรินทร ศรีภิรมย์
warintron.sripirom@swu.ac.th
จุลศักดิ์ ชาญณรงค์
warintron.sripirom@swu.ac.th
<p><span style="vertical-align: inherit;"> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ ประกอบด้วย 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานคลินิกเลิกบุหรี่ในโรงพยาบาลสงฆ์ และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยสนับสนุนการบริหารงานของคลินิกเลิกบุหรี่ในโรงพยาบาลสงฆ์ โดยใช้แนวทางการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา เก็บรวบรวมข้อมูลจากการค้นคว้าข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 9 คน โดยมีผู้ให้ข้อมูลในกลุ่มผู้บริหารของโรงพยาบาลสงฆ์ ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ และคลินิกเลิกหัวหน้าบุหรี่ในโรงพยาบาลสงฆ์ และผู้ให้ข้อมูลในกลุ่มผู้ปฏิบัติงาน ได้แก่ ทีมสหวิชาชีพของคลินิกเลิกบุหรี่ในโรงพยาบาลสงฆ์ ผลการวิจัยพบว่า การบริหารงานคลินิกเลิกบุหรี่ในโรงพยาบาลสงฆ์ มีความสอดคล้องกับทฤษฎีกระบวนการจัดการ POSDCoRB ของ Luther Gulick and Lyndall Urwick ทั้งหมด 7 ขั้นตอน คือ 1) การวางแผน มีการประชุมกำหนดกิจกรรม ร่วมกันทุกแผนกเป็นประจำทุกเดือนอย่างชัดเจน 2) การจัดองค์การและมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบ มีผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ ให้คำปรึกษากำกับดูแลในการดำเนินงาน โดยมีหัวหน้าคลินิกเลิกบุหรี่เป็นผู้วางแผนและดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินงาน รวมถึงมอบหมายหน้าที่ให้ทีมสหวิชาชีพในการดำเนินงานตามแผนงานที่กำหนด 3) การบริหารบุคลากร มีการแบ่งหน้าที่ให้เหมาะสมตามความสามารถที่ตรงต่อการดำเนินงานของแต่ละแผนก 4) การอำนวยการ มีการมอบหมายหน้าที่และประสานงานไปยังทีมสหวิชาชีพในการดำเนินงานคลินิกเลิกบุหรี่ให้ประสบความสำเร็จ 5) การประสานงาน มีการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานแต่ละแผนกในโรงพยาบาลสงฆ์และองค์กรภายนอก 6) การรายงานผลการปฏิบัติงาน มีการรายงานผลต่อที่ประชุม เผยแผ่บทความวิชาการสู่สาธารณะและสื่อออนไลน์ ถึงการปฏิบัติงาน ในขั้นตอนต่างๆ ของโครงการและแผนการปฏิบัติงานครั้งต่อไป 7) งบประมาณสนับสนุนจากโครงการคลินิกเลิกบุหรี่ โดยโรงพยาบาลสงฆ์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และงบประมาณสนับสนุนจากองค์กรภายนอก สำหรับปัจจัยสนับสนุนการบริหารงานของคลินิกเลิกบุหรี่ในโรงพยาบาลสงฆ์ ประกอบด้วย 5 ปัจจัย คือ 1) มีผู้นำที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพพระสงฆ์ 2) มีการกำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานอย่างชัดเจน 3) มีหน่วยงานแต่ละแผนกให้ความร่วมมือเรื่องภัยที่เกิดจากการสูบบุหรี่ 4) มีองค์กรภายนอกให้ความร่วมมือและคอยสนับสนุน 5) มีการเรียนรู้ และทบทวนการดำเนินงานที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาการดำเนินงานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง</span></p>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/272238
บทบาทของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ในการผลักดันให้ พาราควอต คลอร์ไฟริฟอส และไกลโฟเซต เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
2024-07-27T08:08:19+07:00
จักรพันธ์ ศรีแก้ว
2539piawjakkapan@gmail.com
มาโนชญ์ อารีย์
jakkapan.piaw@g.swu.ac.th
กัลยา แซ่อั้ง
jakkapan.piaw@g.swu.ac.th
<p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบทบาทของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช(Thai-PAN)ในการผลักดันให้ พาราควอต คลอร์ไฟริฟอส และไกลโฟเซต เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 2) เพื่อศึกษาแนวทางการระดมทรัพยากรภายในเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช(Thai-PAN)และระหว่างเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช(Thai-PAN) กับองค์กรเครือข่ายภายนอก ในการผลักดันให้ พาราควอต คลอร์ไฟริฟอส และไกลโฟเซต เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 3) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช(Thai-PAN)ที่เกิดขึ้นระหว่างการผลักดันให้ พาราควอต คลอร์ไฟริฟอส และไกลโฟเซต เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ใช้แนวทางการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา เก็บรวบรวมข้อมูลจากการศึกษารวบรวมข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์ โดยแบ่งกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) กลุ่มอาสาสมัครจากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร 2) กลุ่มอาสาสมัครจากองค์กรมหาวิทยาลัย 3) กลุ่มอาสาสมัครจากองค์กรหน่วยงานภาครัฐ ผลการศึกษาพบว่า 1) มีบทบาทในการเจารจาต่อรองและกดดันรัฐบาลโดยใช้ยุทธศาสตร์ “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” โดยการสร้างความรู้จริง มีการเคลื่อนไหวทางสังคมด้วยยุทธการป่าล้อมเมือง และมีการใช้อำนาจทางการเมืองผ่านพรรคฝ่ายค้านและพรรคฝ่ายรัฐบาล 2) พบว่า มีการระดมทรัพยากรด้านข้อมูล ด้านวัสดุและอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยใช้ทุนส่วนตัวของสมาชิกภายในและภายนอกเครือข่าย และได้รับเงินทุนสนับสนุนจากมูลนิธิชีววิถีและ สสส. 3) พบว่า ผู้ค้าสารเคมีได้กดดันรัฐบาลให้เลื่อนการแบนสารเคมีและรัฐบาลไม่มีนโยบายที่ชัดเจนด้านความปลอดภัยในระบบเกษตรและระบบอาหารของประเทศ</span></span></span></span></p>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/272877
ภาวะผู้นำการพัฒนาชุมชนของพระสังฆาธิการในตำบลนาฝาย อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ
2024-09-01T15:57:18+07:00
พระบุญจอง อนุตฺตโร หมู่สะแก
narinpempa123@gmail.com
พระนรินทร์ เอมพันธ์ ผศ.ดร.
narinpempa123@gmail.com
ไพฑูรย์ มาเมือง
narinpempa123@gmail.com
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับภาวะผู้นำการพัฒนาชุมชนของพระสังฆาธิการในตำบลนาฝาย อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ 2. เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อภาวะผู้นำการพัฒนาชุมชนของพระสังฆาธิการในตำบลนาฝาย อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ และ 3. นำเสนอภาวะผู้นำการพัฒนาชุมชนของพระสังฆาธิการในตำบลนาฝาย อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ โดยมีระเบียบวิธีวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่า t-test ค่า F-test และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการพรรณนาความ</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">ระดับภาวะผู้นำการพัฒนาชุมชนของพระสังฆาธิการ โดยรวม อยู่ในระดับมาก (=4.05) เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน ดังนี้ ด้านการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม (=4.05) ด้านพัฒนาจิตใจประชาชน <br>(=4.05) ด้านการการสาธารณสงเคราะห์ (=4.04) และด้านการศึกษาสงเคราะห์ (=4.04) <br>2. ผลการเปรียบเทียบ พบว่า ประชาชนที่มีเพศ และอายุต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานการวิจัย ส่วนประชาชนที่มีการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่างกัน มีความคิดเห็นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย 3. ผลการนำเสนอ พบว่า 1) ด้านพัฒนาจิตใจประชาชน พระสังฆาธิการควรเทศนาสั่งสอนให้ประชาชนได้เข้าใจหลักธรรมและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 2) ด้านการศึกษาสงเคราะห์ พระสังฆาธิการควรส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดตั้งโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์และศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ขึ้นในวัด 3) ด้านการสาธารณสงเคราะห์ พระสังฆาธิการควรแนะนำประชาชนประกอบสัมมาอาชีพที่เหมาะสม 4) ด้านการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม พระสังฆาธิการควรส่งเสริมศีลปะวัฒนธรรม ควรจัดกิจกรรมสะท้อนอัตลักษณ์ภูมิปัญญาของท้องถิ่น</li> </ol>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/272878
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามหลักสัปปุริสธรรมของผู้ปกครองท้องที่ ในอำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ
2024-09-01T16:05:38+07:00
พระครูนันทธรรมาภรณ์ สุดใจ นนฺทิโก
narinpempa123@gmail.com
พระนรินทร์ เอมพันธ์ ผศ.ดร.
narinpempa123@gmail.com
ไพทูรย์ มาเมือง
narinpempa123@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้ปกครองท้องที่ในอำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้ปกครองท้องที่ในอำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ และ 3) นำเสนอคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามหลักสัปปุริสธรรมของผู้ปกครองท้องที่ในอำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ โดยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี คือ การวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 9 รูปหรือคน ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก และการวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 399 คน จากประชาชนผู้ที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้น จำนวน 98,561 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบ และค่าเอฟ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการพรรณนาความ</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> 1) ระดับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้ปกครองท้องที่ในอำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ โดยรวม อยู่ในระดับมาก ( =4.02) เมื่อจำแนกเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านคุณลักษณะ ( =4.04) ด้านตามสถานการณ์ ( =4.03) ด้านการเปลี่ยนแปลง ( =4.01) และด้านพฤติกรรม ( =4.00) อยู่ในระดับมาก ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบ พบว่า ประชาชนที่มีเพศ และการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้ปกครองท้องที่ในอำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานการวิจัย ส่วนประชาชนที่มีอายุ อาชีพ และรายได้ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้ปกครองท้องที่ในอำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย และ 3) ผลการนำเสนอ พบว่า (1) ด้านคุณลักษณะ คือ ผู้ปกครองท้องที่ควรเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ รอบรู้กฎหมาย เป็นผู้ที่มีความอดทนสูง มีความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ มีรูปร่างสมบูรณ์สมส่วน (2) ด้านพฤติกรรม ผู้ปกครองท้องที่ควรเป็นต้นแบบหรือแบบอย่างที่ดี เพราะผู้นำถ้าหากประพฤติปฏิบัติตนไปในทางที่ดี ก็จะส่งผลให้ผู้ตามประพฤติปฏิบัติดีตามไปด้วย (3) ด้านตามสถานการณ์ ผู้ปกครองท้องที่ควรมีไหวพริบปฏิภาณ สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการในการปกครองได้อย่างกลมกลืน สามารถประเมินสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า <br>มีการวางแผนเป็นลำดับขั้นตอนและสามารถแก้ไขปัญหาได้ในทุกๆ สถานการณ์ (4) ด้านการเปลี่ยนแปลง ผู้ปกครองท้องที่ควรเป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความสามารถบริหารจัดการด้วยวิธีการใหม่ๆ ที่ทันสมัย สามารถกำหนดเป้าหมายได้อย่างชัดเจนและทำได้จริง</p>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/273259
การประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมในการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลบัวเชด อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์
2024-09-16T22:18:49+07:00
พระจุลภควัฒน์ อคฺควโร
patchavat.suk@mcu.ac.th
ภัฏชว้ชร์ สุขเสน
patchavat.suk@mcu.ac.th
พระครูใบฎีกาเวียง กิตฺติวณฺโณ
patchavat.suk@mcu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลบัวเชด อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมการบริหารงานในพระพุทธศาสนาเถรวาท 3) เพื่อประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมในการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลบัวเชด อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพภาคสนาม โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์ แล้วนำเสนอผลการวิจัยด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> สภาพทั่วไปการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลบัวเชด อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ พบว่า สภาพทั่วไป แบ่งเป็น 3 ด้านได้แก่ 1) ด้านเศรษฐกิจ 2) ด้านสังคม 3) ด้านการเมืองและการบริการจัดการ องค์การบริหารส่วนตำบลบัวเชดมีการวิเคราะห์ เพื่อหาจุดแข็งจุดอ่อนโอกาสและข้อจำกัดเพื่อเป็นข้อมูลในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นทางด้านต่างๆ เพื่อมาพัฒนาท้องถิ่นให้ตรงจุดที่ประชาชนต้องการโดยถูกต้องตามระเบียบข้อกฎหมาย การแก้ไขปัญหาต่างๆ ขององค์การบริหารส่วนตำบลตำบลบัวเชด ตามแนวนโยบายการบริหารงานของภาครัฐ</p> <p> หลักพุทธธรรมสำหรับการบริหารงานในพระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ 1) หลักอปริหานิยธรรม คือ ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความไม่เสื่อม 7 ประการ 2) อิทธิบาท หมายถึง ธรรมที่เป็นเครื่องให้ถึงความสำเร็จ หรือทางแห่งความสำเร็จ มี 4 ประการ 3) หลักธรรมอื่นๆ ที่เหมาะสมกับการบริหารงาน ได้แก่ หลักศีล 5 และหลักพรหมวิหาร 4</p> <p> การประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมในการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลบัวเชด อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ พบว่ามีการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรม ดังนี้ 1) การประยุกต์ใช้หลัก อปริหานิยธรรม การประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 และ 3) การประยุกต์ใช้หลักธรรมอื่นในการบริหารงาน เช่น ศีล 5 และ พรหมวิหาร 4</p>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/273270
ศึกษาผลสำเร็จการปลูกฝังคุณธรรมนักเรียนโรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนหนองโสนวิทยา ตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์
2024-09-12T06:41:04+07:00
พระปลัดชูวิทย์ อภิชโย บุญเจริญ
patchavat.suk@mcu.ac.th
ทวีศักดิ์ ทองทิพย์
patchavat.suk@mcu.ac.th
พระปลัดกิตติ ยุตฺติธโร
patchavat.suk@mcu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพโรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนหนองโสนวิทยา ตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการปลูกฝั่งคุณธรรมนักเรียนโรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนหนองโสนวิทยา ตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 3) เพื่อศึกษาผลสำเร็จการปลูกฝังคุณธรรมโรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนหนองโสนวิทยา ตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ เป็นการวิจัยแบบผสม (Mixed Research Method) เป็นกระบวนการที่ผสมผสานการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ วิธีดำเนินการวิจัย ใช้การตรวจสอบเอกสาร การสังเกต สอบถาม และสัมภาษณ์ เครื่องมือวิจัยมี 3 แบบ คือ แบบบันทึกการสังเกต ใช้บันทึกเก็บข้อมูลสภาพปัจจุบันโรงเรียนวิถีพุทธโรงเรียนหนองโสนวิทยา ตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ แบบสอบถามใช้ถามครู 17 คน กรรมการสถานศึกษา จำนวน 14 คน และ ผู้ปกครองนักเรียน 191 คน และแบบสัมภาษณ์ ใช้สัมภาษณ์ พระสงฆ์จำนวน 5 รูป กรรมการสถานศึกษาโรงเรียนหนองโสนวิทยาจำนวน 5 คน ผู้บริหาร จำนวน 1 คน ครูประจำชั้น 3 คน ผู้ปกครองนักเรียน 6 คน และ นักเรียนโรงเรียนหนองโสนวิทยา จำนวน 6 คน วิเคราะห์ข้อมูลแบบพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p><strong> </strong>สภาพโรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนหนองโสนวิทยา ตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ มี 5 ด้าน คือ 1) ด้านกายภาพ 2) ด้านพฤติกรรม 3) ด้านกิจกรรมประจำวันพระ 4) ด้านการส่งเสริมวิถีพุทธ 5) ด้านการเรียนการ</p> <p> แนวทางการปลูกฝังคุณธรรมนักเรียนโรงเรียนวิถีพุทธ พบว่า มี 4 ด้าน คือ 1) ด้านพฤติกรรมของนักเรียน มีแนวทางการปลูกฝังคุณธรรมนักเรียนโรงเรียนวิถีพุทธอยู่ในกรอบของศีล 5 และ กัลยาณมิตร 7 2) ด้านกิจกรรมประจำวันพระ มีแนวทางการปลูกฝังคุณธรรมนักเรียนโรงเรียนวิถีพุทธอยู่ในกรอบของบุญกิริยาวัตถุ 10 อนุปุพพิกถา และ โอวาท 3 3) ด้านการส่งเสริมวิถีพุทธ พบว่า มีแนวทางการปลูกฝังคุณธรรมนักเรียนโรงเรียนวิถีพุทธอยู่ในกรอบการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนตามหลักของภาวนา 4 คือ (1) พัฒนาการทางกาย (กายภาวนา) การเจริญกาย (2) พัฒนาการทางด้านสังคม (ศีลภาวนา) (3) พัฒนาการทางจิต (จิตภาวนา) การเจริญจิต (4) พัฒนาการทางปัญญา (ปัญญาภาวนา) การเจริญปัญญา 4) ด้านการเรียนการสอน มีแนวทางการปลูกฝังคุณธรรมนักเรียนโรงเรียนวิถีพุทธอยู่ในกรอบของหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา</p> <p> ผลสำเร็จการปลูกฝังคุณธรรมนักเรียนโรงเรียนวิถีพุทธ พบว่า ผลการประเมินความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานศึกษาที่มีต่อผลสำเร็จการปลูกฝังคุณธรรมโรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนหนองโสนวิทยา ตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 4 ด้าน คือ ด้านพฤติกรรมนักเรียน ด้านกิจกรรมประจำวันพระ ด้านการส่งเสริมวิถีพุทธ และด้านการเรียนการสอน โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.86 มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก</p>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ