วารสารชัยภูมิปริทรรศน์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr <p>วารสารชัยภูมิปริทรรศน์เป็นวารสารวิชาการ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย บทความพิเศษ บทความวิชาการ บทความปริทรรศน์ บทวิจารณ์หนังสือ และปกิณกะ แก่ นักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา โดยที่ครอบคลุมเนื้อหาในมิติทางด้านพระพุทธศาสนา ที่เกี่ยวข้องกับสาขาพระพุทธศาสนา ปรัชญา กฎหมาย การศึกษารัฐศาสตร์ การปกครอง ศิลปะวัฒนธรรมและประเพณี ทั้งพระพุทธศาสนาแนวคัมภีร์ และพระพุทธศาสนาแนวประยุกต์กับศาสตร์สมัยใหม่</p> <p>วารสารชัยภูมิปริทรรศน์ มีกำหนดออกเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ</p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน</p> <p>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม</p> <p>ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม</p> Chaiyaphum Buddhist College Mahachulalongkornrajavidyalaya University th-TH วารสารชัยภูมิปริทรรศน์ 3027-818X <p>ข้อความลิขสิทธิ์</p> การประยุกต์ใช้หลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/273803 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการประยุกต์ใช้หลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก และ 2) ศึกษาเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อการประยุกต์ใช้หลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ประชากร คือ ประชาชนผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในของเทศบาลตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก จำนวน 2,027 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครทซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 345 คน จากนั้นก็เลือกวิธีสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การประยุกต์ใช้หลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ผลการวิจัย พบว่า ความคิดเห็นของประชาชนต่อการประยุกต์ใช้หลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.52) เมื่อพิจารณาในแต่ละด้านพบว่า ด้านหลักความโปร่งใส อยู่ในระดับปานกลางส่วนด้านอื่น ๆ อยู่ในระดับมากทุกด้าน 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อการประยุกต์ใช้หลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการประยุกต์ใช้หลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</p> กมลพร กัลยาณมิตร บังอร เบ็ญจาธิกุล เรวดี มาลัยศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 1 17 การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาเทศบาลตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/273804 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาเทศบาลตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี 2) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาเทศบาลตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี และ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาเทศบาลตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ ประชาชนทุกสาขาอาชีพที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เทศบาลตำบลไทรน้อย และมีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเทศบาลตำบลไทรน้อย จำนวน 2,010 คน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 337 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของ ทาโร่ ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test และ F-test (ANOVA)</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>1. การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาเทศบาลตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.92) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ การมีส่วนร่วมในการวางแผนการพัฒนา ( = 4.00) การมีส่วนร่วมในการบริหารงาน ( = 3.88) การมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการบริหารงาน ( = 3.94) และการมีส่วนร่วมในการติดตามข้อมูลข่าวสาร ( =3.87) ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาเทศบาลตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ประชาชนโดยรวมและรายด้าน จำแนกตามเพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา ขนาดของครอบครัว และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่แตกต่างกัน พบว่า มีส่วนร่วมต่อการพัฒนาเทศบาลตำบลไทรน้อย ไม่แตกต่างกัน (p&gt;.05) 3. ข้อเสนอแนะต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาเทศบาลตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี พบว่า ประชาชนอยากรู้รายละเอียดการทำงานของเทศบาล โดยเฉพาะเรื่องการดำเนินงานทางพัสดุ อยากให้เทศบาลจัดกิจกรรมร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ เพื่อสร้างความสามัคคีอยากมีส่วนร่วมในการวางแผนพัฒนาชุมชนของตนเอง</li> </ol> จุมพล โพธิสุวรรณ วรเมศ จงโฮฬารดำรง สมชาย วิมลสุข อนงค์วรรณ เทพสุทิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 18 31 การให้บริการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าฉนวน อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/273805 <p><strong> </strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1ศึกษาระดับคุณภาพการให้บริการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าฉนวน อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท และ 2) ศึกษาข้อเสนอแนะของผู้สูงอายุต่อคุณภาพการให้บริการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าฉนวน อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ ผู้สูงอายุที่ได้รับเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าฉนวน อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท จำนวน 1,578 คน กลุ่มตัวอย่าง 200 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามสูตรของ Krejcie and Morgan เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ และร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1.ระดับคุณภาพการให้บริการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าฉนวน อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.01) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านความโปร่งใส ( = 4.11) ด้านความรวดเร็ว ( = 4.05) ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ ( = 4.03) ด้านการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ( = 4.02) และด้านความพอเพียง ( = 3.83) 2. ข้อเสนอแนะของผู้สูงอายุต่อคุณภาพการให้บริการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าฉนวน อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เน้นการเพิ่มงบประมาณสงเคราะห์เบี้ยยังชีพ รักษามาตรฐานการบริการ การจัดหาอาชีพเสริม ปรับปรุงรูปแบบการประชาสัมพันธ์ ปรับปรุงการแต่งกายและความสุภาพของเจ้าหน้าที่ และปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก</p> <p><strong> </strong></p> ชูชีพ เบียดนอก ประนอม วังพรม สุรพร สิมะกุลธร ปรียาพร เหตระกูล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 32 47 ขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/273807 <p> </p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 2) เปรียบเทียบขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ที่มีเพศ ระดับการศึกษา การเข้ารับราชการสำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร แตกต่างกัน และ 3) ศึกษาข้อเสนอแนะในการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ บุคลากรสำนักงานเขตภาษีเจริญ 723 คน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 148 คน ได้จากการเลือกเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong> ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p>1) ขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากร พบว่า โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 6 ด้าน คือ ด้านความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ด้านสถานะทางอาชีพ ด้านนโยบายและการบริหารงานขององค์การ ด้านความเป็นอยู่ส่วนตัว ด้านความมั่นคงในงาน และด้านวิธีการปกครองของผู้บังคับบัญชา และอยู่ในระดับปานกลาง 3 ด้าน คือ ด้านเงินเดือน ด้านสภาพการทำงาน และด้านความก้าวหน้าในอนาคต 2) การเปรียบเทียบขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ที่มีเพศ ระดับการศึกษา การเข้ารับราชการใน สำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร แตกต่างกัน คือ บุคลากรหญิงให้ความสำคัญกับความสำเร็จ สถานะทางอาชีพ และความมั่นคงในงานมากกว่าบุคลากรชาย (p &lt; 0.05) ระดับการศึกษา ต่ำกว่าปริญญาตรีให้ความสำคัญกับการได้รับการยอมรับและความสัมพันธ์ในการทำงานมากกว่า ปริญญาตรีให้ความสำคัญกับลักษณะงาน ความก้าวหน้า และเงินเดือนมากกว่า (p &lt; 0.05) และ การเข้ารับราชการ บุคลากรที่โอนย้ายมาจากส่วนราชการอื่นให้ความสำคัญกับการได้รับการยอมรับและความสัมพันธ์ในที่ทำงานมากกว่า (p &lt; 0.05) 3) ข้อเสนอแนะในการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ด้านปัจจัยจูงใจ ควรให้โอกาสความก้าวหน้าแก่บุคลากรภายในหน่วยงานก่อน ใช้บุคลากรตามความถนัด พิจารณาความดีความชอบตามความสามารถ ด้านปัจจัยค้ำจุน ผู้บังคับบัญชาควรฟังความคิดเห็นและมีความเป็นกันเอง พิจารณาความดีความชอบอย่างเป็นธรรม ปรับเงินเดือนให้เหมาะสมกับค่าครองชีพ ส่งเสริมความร่วมมือและช่วยเหลือระหว่างเพื่อนร่วมงาน</p> สมภพ ศรีสัมพันธ์ ธวัชชัย แสวงทรัพย์ ชนะ รัตนภักดี ฉวีวรรณ ปูรานิธี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 48 64 การพัฒนาการบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมตามหลักสัปปายะ 7 ของโรงเรียนพนมเบญจา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตรัง กระบี่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/276867 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม ของโรงเรียนพนมเบญจา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตรัง กระบี่ 2) เพื่อพัฒนาการบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมตามหลักสัปปายะ 7 ของโรงเรียนพนมเบญจา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตรัง กระบี่ 3) เพื่อนำเสนอคู่มือการบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมตามหลักสัปปายะ 7 ของโรงเรียนพนมเบญจา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตรัง กระบี่ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน 15 คน สัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน การสนทนากลุ่ม ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ แบบประเมินการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม มีการดำเนินการครบทั้ง 4 งานซึ่งเป็นไปตามขอบข่ายตามที่โรงเรียนกำหนดไว้ในการบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม ของโรงเรียนพนมเบญจา แต่ยังมีข้อติดขัดในภาระงานบางภาระงาน เนื่องจากกระบวนการในการปฏิบัติงานไม่มีความชัดเจน เพราะขาดคู่มือการปฏิบัติงานที่ชัดเจน ทำให้บุคลากรไม่เข้าใจขั้นตอนและระเบียบในการทำงาน และโรงเรียนมีอัตรากำลังค่อนข้างมาก มีภาระงานมาก และมีการย้าย สับเปลี่ยนตลอดเวลา ทำให้หน้าที่รับผิดชอบของบุคลากรไม่ชัดเจน ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและความยุ่งยากในการดำเนินงานต่างๆ รวมถึงการติดต่อประสานงานกับผู้รับผิดชอบ 2) การพัฒนาควรประกอบด้วยกระบวนการดำเนินการเกี่ยวกับ 4 งาน ที่สำคัญในการบริหารงานอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ 1) การออกแบบและปรับปรุงภูมิทัศน์โรงเรียน 2) การดูแล บำรุงรักษา อาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม 3) การให้บริการด้านอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม 4) กำหนดระเบียบหรือแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้อาคารสถานที่ โดยการประยุกต์ใช้หลักสัปปายะ 7 โดยดำเนินให้เหมาะสมและอาศัยการ มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ3) การนำเสนอคู่มือ ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่า มีความเป็นไปได้ มีความเหมาะสม และมีความเป็นประโยชน์ และมีโครงสร้างตามองค์ประกอบ สามารถนำไปใช้ได้</p> กฤษฏิภัณฑ์ ไกรนรา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 92 106 รูปแบบการประยุกต์ใช้หลักสติปัฏฐาน เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางปัญญาของเด็กและเยาวชนจังหวัดนครปฐม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/276828 <p>บทความนี้เป็นบทความวิจัยเรื่อง “รูปแบบการประยุกต์ใช้หลักสติปัฏฐานเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางปัญญาของเด็กและเยาวชนจังหวัดนครปฐม” มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดความรู้เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้หลักสติปัฏฐานในการยกระดับสุขภาวะทางปัญญา เพื่อพัฒนากิจกรรมส่งเสริมการประยุกต์ใช้หลักสติปัฏฐานในการยกระดับสุขภาวะทางปัญญาของเด็กและเยาวชน จังหวัดนครปฐม และเพื่อถอดบทเรียนและเสนอรูปแบบการประยุกต์ใช้หลักสติปัฏฐานในการเสริมสร้างสุขภาวะทางปัญญาของเด็กและเยาวชน จังหวัดนครปฐม พบว่า</p> <p>การส่งเสริมสร้างการประยุกต์ใช้หลักสติปัฏฐานเห็นคุณค่าในตัวเองของเด็กและเยาวชน การฝึกพัฒนาจิตใจของตนเองในด้านสติ จะทำให้มีสติตั้งมั่น ไม่เผลอสติ ไม่คิดฟุ้งซ่าน ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา เป็นคุณธรรมเสริมสร้างการทำหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างดียิ่ง ในการดำรงชีวิตมีวิจารณญาณตัดสินใจอย่างรอบคอบ รอบด้าน และรู้จักปล่อยวางความทุกข์</p> <p>ส่งเสริมการเห็นคุณค่าในการประยุกต์ใช้หลักสติปัฏฐานเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางปัญญาของเด็กและเยาวชนควรประกอบด้วยการเน้นที่การพัฒนาความตระหนักรู้และการจัดการกับความรู้สึกต่าง ๆ ผ่านหลักสติปัฏฐานสี่ ได้แก่ สติปัฏฐานในร่างกาย สติปัฏฐานในความรู้สึก สติปัฏฐานในจิตใจ และสติปัฏฐานในสภาพธรรม โดยหลักการนี้สามารถปรับใช้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการเติบโตทางปัญญาให้กับเด็กและเยาวชน รูปแบบการประยุกต์ใช้หลักสติปัฏฐานในการเสริมสร้างสุขภาวะทางปัญญาของเด็กและเยาวชน จังหวัดนครปฐม การฝึกสมาธิ หายใจเบาสบาย พักใจในปัจจุบัน และภาพรวม ธรรมะบันเทิง</p> <p>สรุปผลการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยของทั้ง 3 โรงเรียน ประกอบด้วยโรงเรียการดีวิทยา มีค่าเฉลี่ยรวม มาก (x̄ = 4.47) โรงเรียนหอเอกวิทยา ค่าเฉลี่ยรวม มาก (x̄ = 4.50) โรงเรียนวัดตาก้อง (รัฐราษฎร์บำรุง) ผลปรากฏว่า ค่าเฉลี่ยรวม มาก ค่าเฉลี่ยรวม มาก (x̄ = 4.71) ผลที่ได้กล่าวมานี้เป็นรากฐานสำคัญของการประยุกต์ใช้หลักสติปัฏฐาน ส่งเสริมสุขภาวะทางปัญญาของเด็กและเยาวชน จังหวัดนครปฐมได้เป็นอย่างดี</p> พระมหาถนอม ฐานวโร สรวิชญ์ วงษ์สอาด พระเจริญพงษ์ ธมฺมทีโป พระมหาณรงค์ศักดิ์ สุทนฺโต มานิตย์ เฟื่องผล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 107 123 การวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตน้ำดื่มของผู้ผลิตน้ำดื่ม ในเขตอำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/277505 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตน้ำดื่มของผู้ผลิตน้ำดื่มในเขตอำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ 2) เพื่อวิเคราะห์ผลตอบแทน มูลค่าปัจจุบันสุทธิ NPV (Net Present Value) และอัตราผลตอบแทนภายใน IRR (Internal Rate of Return) และ 3) เพื่อศึกษาจุดคุ้มทุน Break Even Point ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ผู้ผลิตน้ำดื่มในเขตอำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 2 ราย ได้มาโดยการเลือกกลุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์ เลือกใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณกับการวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยครั้งนี้มุ่งหาข้อเท็จจริงและข้อสรุปเชิงปริมาณเน้นการใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องของข้อค้นพบ และสรุปต่างๆ เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสัมภาษณ์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ต้นทุนการผลิต ใช้น้ำดิบสำหรับถังบรรจุน้ำดื่มปริมาณที่ใช้ 500 ถังๆ ละ 18 ลิตร ใช้น้ำ 9,000 ลิตร แบบขวดปริมาณที่ใช้ 3,000 ขวดๆ ละ 600 มิลลิลิตร ใช้น้ำ 1,800 ลิตร (น้ำประปา 1 ลูกบาศก์เมตร = 1,000 ลิตร ราคา 32.50 บาท) ลิตรละ 0.0325 บาท ถังบรรจุไม่มีต้นทุนต่อถังเนื่องจากผู้ซื้อจะต้องจ่ายค่ามัดจำเอง ขวดบรรจุน้ำดื่ม ต้นทุนต่อขวด 1 บาท/ขวด ใช้พนักงานในการผลิตและบรรจุน้ำดื่ม จำนวน 9 คน อัตราค่าแรง 350 บาทต่อวัน ค่าใช้จ่ายในการผลิตผันแปร ได้แก่ ค่าไฟฟ้า ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ค่าวัสดุอุปกรณ์สิ้นเปลืองอื่นๆ 2. ผลตอบแทน ราคาขายแบบถังๆ ละ 15 บาท แบบขวด 350 มล, 600 มล โหลละ 35 บาท 3 โหล 100 ยอดขายวันละประมาณ 10,000 บาท เฉลี่ย 300,000 บาท/เดือน 3. การวิเคราะห์มูลค่าปัจจุบันสุทธิและอัตราผลตอบแทนภายใน 3.1) มูลค่าปัจจุบันสุทธิ อัตราผลตอบแทนภายใน ต้นทุนการผลิตแบบถังรวม 6.96 หักค่าเสื่อมราคา 1.22 เหลือต้นทุน 5.74 ปริมาณการขาย 9,000 ถัง ต้นทุนไม่รวมค่าเสื่อมราคา 51,660 ต้นทุนการผลิตแบบขวดรวม 2.19 หักต้นทุนค่าเสื่อมราคา 0.25 เหลือต้นทุนเท่ากับ 1.94 ปริมาณการขาย 72,000 ขวด ต้นทุนไม่รวมค่าเสื่อมราคา 139,680 3.2) ผลการวิเคราะห์จุดคุ้มทุน และระยะเวลาคืนทุน จุดคุ้มแบบบรรจุถัง= 78,927.60 บาท และจุดคุ้มของหน่วยขายแบบบรรจุขวด=82,587.38 บาท 3.3) ระยะเวลาคืนทุนมูลค่าปัจจุบันสุทธิเท่ากับ (4,384,505.33) บาท และระยะเวลาคืนทุน 3 ปี 3 เดือน</p> <p> </p> ศรินทา ฤาษี สำเริง ไกยวงค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 141 153 การประยุกต์หลักอิทธิบาทธรรมเพื่อพัฒนาประสิทธิผลการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในอำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/278235 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิผลการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในอำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาทธรรมกับประสิทธิผลการปฏิบัติงานของอสม. และ 3) นำเสนอแนวทางการประยุกต์หลักอิทธิบาทธรรมเพื่อพัฒนาประสิทธิผลการปฏิบัติงานของอสม. ใช้วิธีวิจัยแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง อสม. จำนวน 278 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 10 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิผลการปฏิบัติงานของอสม. โดยรวมอยู่ในระดับมาก (X̄ = 4.20, S.D. = 0.56) โดยทุกด้านอยู่ในระดับมาก ได้แก่ การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันควบคุมโรค การรักษาพยาบาลเบื้องต้น การฟื้นฟูสุขภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค 2) หลักอิทธิบาทธรรมมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิผลการปฏิบัติงานในระดับค่อนข้างสูง (r = 0.701, p &lt; 0.01) 3) การประยุกต์หลักอิทธิบาทธรรมเพื่อพัฒนาประสิทธิผลการปฏิบัติงานต้องอาศัยการพัฒนาคุณลักษณะสำคัญของ อสม. ที่สอดคล้องกับหลักอิทธิบาทธรรม ได้แก่ ความเป็นจิตอาสา ความศรัทธาในบทบาทหน้าที่ (ฉันทะ) ความเพียรพยายามต่อเนื่อง (วิริยะ) ความมุ่งมั่นตั้งใจและรับผิดชอบ (จิตตะ) และการใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง (วิมังสา) รวมถึงการส่งเสริมด้านการพัฒนาทักษะ สวัสดิการ และการสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงาน ผลการวิจัยนี้นำไปสู่การพัฒนารูปแบบ "PAS Model of Health care" ที่สามารถประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประสิทธิผลการปฏิบัติงานของ อสม. ได้อย่างเป็นรูปธรรม</p> วุฒิการณ์ อุปจักร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 164 180 การพัฒนาหัตถกรรมโลหะพหุวัฒนธรรมในจังหวัดอุบลราชธานีสู่ความเป็นซอฟต์พาวเวอร์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/278296 <p>บทความวิจัยเรื่องการพัฒนาหัตถกรรมโลหะพหุวัฒนธรรมในจังหวัดอุบลราชธานีสู่ความเป็นซอฟต์พาวเวอร์”นี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) ศึกษางานหัตถกรรมโลหะพหุวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี 2) นหาแนวทางการพัฒนางานหัตถกรรมโลหะพหุวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี และ 3) เสนอแนวทางส่งเสริมหัตถกรรมโลหะพหุวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีสู่ความเป็นซอฟต์พาวเวอร์ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสารและวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการรวบรวม วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารและจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิระดับท้องถิ่นปราชญ์ชุมชน นักวิชาการ กรรมการ และสมาชิกกลุ่มหัตถกรรมโลหะรวมทั้งหมดจำนวน 36 คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สำหรับซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) เป็นอำนาจสำหรับการสร้างแรงดึงดูดใจ (attraction) ให้อีกฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนใจและคล้อยตาม มากกว่าการใช้อำนาจในเชิงบังคับ (coercion) โดยมุ่งหวังที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งยอมรับในสิ่งที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้อำนาจ ซอฟต์พาวเวอร์ จึงเป็นการสร้างแรงดึงดูดใจให้อีกฝ่ายหนึ่งคล้อยตามทั้งในรูปของวัฒนธรรม (culture) เศรษฐกิจ (economic) อุดมคติทางการเมือง (political ideals) และนโยบายทางการเมือง (political policies) สำหรับการทำหัตถกรรมในจังหวัดอุบลราชธานีพบว่าหสัตถกรรมกลายเป็นภูมิปัญญาเป็นเรื่องที่สั่งสมมาแต่อดีตและเป็นเรื่องราวของการจัดความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติแวดล้อม คนกับคน คนกับสิ่งเหนือธรรมชาติโดยผ่านทางกระบวนการทางจารีตประเพณี วิถีการทำมาหากิน และพิธีกรรมต่าง ๆ ทุกอย่างเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างความสัมพันธ์เหล่านี้ เป้าหมายก็คือเพื่อให้เกิดความสงบสุขทั้งในที่เป็นชุมชนและหมู่บ้าน โดยมีการค้นหาแนวทางและข้อเสนอในการส่งเสริมหัตถกรรมการพัฒนางานหัตถกรรมโลหะพหุวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน</p> ศราวุธ ขันธวิชัย สมนึก จันทร์โสดา พระสิริชัย ธมฺมจาโร พระสังวาน เขมปญฺโญ สายเนตร พระสมุห์กองสี ญาณธโร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 181 195 การศึกษาเชิงวิเคราะห์การตีความเรื่องสูกรมัททวะที่ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/278581 <p><strong> </strong></p> <p>บทความวิจัยเรื่อง “การศึกษาเชิงวิเคราะห์การตีความเรื่องสูกรมัททวะที่ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร”นี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาปัญหาการตีความเรื่องสูกรมัททวะปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร 2) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องการตีความภาษาศาสนาในพระพุทธศาสนาเถรวาท และ 3) เพื่อวิเคราะห์ข้อเสนอปัญหาการตีความเรื่องสูกรมัททวะที่ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์เอกสารโดยการแยกประเภท เรียบเรียง สรุปสาระสำคัญ วิเคราะห์เนื้อหาจากเอกสารสำคัญโดยมีพระไตรปิฎก อรรถกถา และผลงานวิชาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <p> มหาปรินิพพานสูตร คือ พระสูตรว่าด้วยมหาปรินิพพานเป็นพระสูตรที่บันทึกเล่าเรื่องโดยประมวลเหตุการณ์และพระธรรมเทศนาทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขบวนเสด็จจาริกแสดงธรรมครั้งสุดท้ายมารวมไว้การดับขันธ์ของพระพุทธเจ้า เป็นการตั้งชื่อตามเนื้อหาสาระของพระสูตร โดยพระสูตรนี้เป็นการบันทึกประมวลลำดับเหตุการณ์และพระธรรมเทศนาในขบวนเสด็จจาริกแสดงธรรมครั้งสุดท้ายของพระผู้มีพระภาค ตลอดจนเหตุการณ์ในวันเสด็จดับขันธปรินิพพานการถวายพระเพลิง การแจกพระบรมสารีริกธาตุ และการสร้างพระสถูป ใจความสำคัญของพระสูตรนี้มีเนื้อหาแบ่งเป็น 6 ภาณวารและแบ่งย่อยออกเป็น 44 ตอน</p> <p> การตีความเรื่องสูกรมัททวะที่ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตรพบว่า สูกรมัททวะเป็นพระกระยาหารมื้อสุดท้ายที่นายจุนทะ บุตรนายช่างทอง ถวายพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จดำเนินไปยังเมืองปาวา หลังจากพระพุทธเจ้าเสวย สูกรมัททวะแล้ว อาการประชวรก็กำเริบและพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ในภายหลัง ทำให้พระกระยาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้ากลายเป็นประเด็นข้อถกเถียงในแวดวงนักวิชาการว่าสูกรมัททวะคืออะไร ? การตีความเรื่องสูกรมัททวะมี 4 นัย คือ 1) การตีความเป็นเนื้อหมูขนาดไม่แก่ไม่อ่อนจนเกิดนไป 2) สูกรมัททวะเป็นเห็ดหรือหน่อไม้ชนิดหนึ่ง ที่หมูชอบกิน 3) สูกรมัททวะเป็นข้าวหุงที่ปรุงด้วยผลิตภัณฑ์ จากโค และ 4) สูกรมัททวะเป็นยาพิเศษหรืออาหารเสริมชนิดหนึ่งที่ปรุงตามตำรับยาของรสายนศาสตร์</p> พระมหาคำพันธ์ ปภากโร นคร จันทราช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 196 208 คนจน: รูปแบบการแก้ไขปัญหาความยากจนตามหลักทฤษฎีใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/278298 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาปัญหาความยากจนของประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานี 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการแก้ปัญหาความยากจนของประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานีตามหลักทฤษฎีใหม่ และ 3) เพื่อวิเคราะห์ผลการแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานีตามหลักทฤษฎีใหม่ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์การวิจัย 3 ประการตามลำดับดังนี้</p> <p> จากการศึกษาพบว่า ปัญหาความยากจนของประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานีโดยมีปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิต การขาดที่ดินทำกิน เกิดภาระหนี้สินครัวเรือน ปัญหาเรื่องการพึ่งพาพ่อค้าคนกลางนท้องถิ่น ปัญหาเรื่องการขาดความรู้และความสามารถทั้งในการวางแผนการจัดการและเทคโนโลยีการผลิต และการมีค่านิยมด้านการบริโภคนิยม ติดอบายมุขและยาเสพติด รวมถึงปัญหาด้านสุขภาพอนามัย ส่วนแนวทางการแก้ปัญหาความยากจนของประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานีเป็นการแก้ปัญหาตามหลักทฤษฎีใหม่ภายใต้นโยบายต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาความจนของเกษตรกรโดยมีแนวทางการดำเนินการแก้ปัญหาความจนในระดับบุคคลและครอบครัว แนวทางการดำเนินการแก้ปัญหาความจนระดับชุมชน และการแก้ปัญหาความจนระดับมาตรการของรัฐและท้องถิ่นที่มีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานีตามหลักทฤษฎีใหม่</p> ศราวุธ ขันธวิชัย พระครูวุฒิธรรมบัณฑิต พระครูวุฒิธรรมบัณฑิต พระดบัสวิน ปภสฺสโร พระสมุห์กองสี ญาณธโร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 217 229 การศึกษาความพึงพอใจของผู้บริหารโรงเรียนและครูพี่เลี้ยงที่มีต่อนักศึกษา ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/280235 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพึงพอใจของผู้บริหารโรงเรียนและครูพี่เลี้ยงที่มีต่อนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ และ 2) รวบรวมข้อเสนอแนะ และความคิดเห็น ของผู้บริหารโรงเรียนและครูพี่เลี้ยงฯ ประชากรและกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน และครูพี่เลี้ยงในโรงเรียนที่เป็นสถานที่ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามความพึงพอใจ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านความรู้ ด้านกระบวนการจัด การเรียนการสอน ด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่น ด้านพฤติกรรม และด้านบุคลิกภาพ สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ความพึงพอใจของผู้บริหารโรงเรียนและครูพี่เลี้ยงที่มีต่อนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.23) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีความพึงพอใจสูงสุดคือ ด้านบุคลิกภาพ ( = 4.52) รองลงมาคือ ด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่น ( = 4.49) ด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอน ( = 4.22) ด้านความรู้ ( = 4.18) และด้านพฤติกรรม ( = 3.72) ตามลำดับ จากผลการวิจัยการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ได้รับการประเมินในเชิงบวกสะท้อนถึงความพร้อมในการเข้าสู่วิชาชีพครูทั้งในทุกด้าน</li> <li>ข้อเสนอแนะที่สามารถนำไปปรับปรุงการจัดการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ได้แก่ ควรส่งเสริมนักศึกษาให้มีคุณวุฒิหรือทักษะทางด้านลูกเสือ ส่งเสริมการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูทุกภาคการศึกษา ควรพัฒนาและส่งเสริมทักษะทางสังคมของนักศึกษา และฝึกให้นักศึกษามีภาวะผู้นำเพื่อพัฒนานักศึกษาให้มีความพร้อมยิ่งขึ้นในการประกอบวิชาชีพครู</li> </ol> ศักดา ชำนาญกุล ฉัตรสุดา ผาสุขมูล สิขรินทร์ ก้อนในเมือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 230 248 ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/280620 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้จากตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan (1970) ได้แก่ ครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 299 คน จากนั้นใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบงกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราวัดประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .983 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษขอนแก่น เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 ได้แก่ ด้านความรู้ทางดิจิทัล ด้านการสื่อสาร ด้านนวัตกรรม และด้านการปรับตัว โดยทั้ง 4 ตัวแปร สามารถร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 ได้ร้อยละ 61.60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> พลอยไพลิน อุระแสง พิมลพรรณ เพชรสมบัติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 249 261 การเสริมสร้างสัมมาชีพการประดิษฐ์โคมแสนดวงอัตลักษณ์ชุมชนสำหรับผู้สูงอายุ ในเทศบาลอำเภอเมือง จังหวัดลำพูน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/280968 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ ได้แก่ 1) ศึกษาองค์ความรู้และกระบวนการประดิษฐ์โคมแสนดวงของผู้สูงอายุในชุมชน 2) พัฒนากระบวนการเสริมสร้างสัมมาชีพแก่ผู้สูงอายุในเทศบาลเมืองลำพูน และ 3) ถ่ายทอดและสร้างเครือข่ายสัมมาชีพในกลุ่มผู้ผลิตโคมแสนดวง การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสาน (Mixed Methods) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงเอกสาร ศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากหนังสือ รายงานการวิจัย รายงานการประชุม และเอกสารที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามสำรวจความพึงพอใจของกลุ่มสัมมาชีพผู้สูงอายุในเขตเทศบาลเมืองลำพูน จำนวน 300 ชุด การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interviews) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ประธานชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ตัวแทนผู้สูงอายุ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 20 คน และ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ ดำเนินการอบรมเชิงปฏิบัติการการสร้างแบรนด์ของโคมแสนดวงให้ทันสมัยให้แก่ตัวแทนผู้ประดิษฐ์โคมในชุมชนในเขตเทศบาลเมืองลำพูน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้</p> <ol> <li>การศึกษาจากประชาชน 17 ชุมชนในเทศบาลเมืองลำพูน พบว่า ผู้ผลิตโคมแสนดวงส่วนใหญ่เป็นหญิงสูงอายุที่มีทักษะและประสบการณ์จากการเรียนรู้ในครัวเรือน ประชาชนมีทัศนคติเชิงบวกต่อองค์ความรู้และกระบวนการผลิต โดยเห็นคุณค่าในความประณีต ความภาคภูมิใจ และการมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรม พร้อมเสนอให้ส่งเสริมทักษะด้านการออกแบบ การสนับสนุนวัตถุดิบ และการถ่ายทอดความรู้สู่คนรุ่นใหม่ โคมแสนดวงจึงเป็นงานหัตถกรรมที่สะท้อนศรัทธาและอัตลักษณ์ล้านนา ควบคู่กับการสร้างสัมมาชีพอย่างยั่งยืน</li> <li>การประดิษฐ์โคมแสนดวงของผู้สูงอายุในลำพูนเป็นการสร้างสัมมาชีพที่ยึดหลักพุทธธรรม เน้นอาชีพสุจริต ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น วัสดุธรรมชาติ และการรวมกลุ่มอย่างไม่แข่งขันรุนแรง มีการอบรมพัฒนาทักษะ การออกแบบแบรนด์ และการตลาดออนไลน์ ช่วยสร้างรายได้ เสริมคุณค่าทางใจ อนุรักษ์วัฒนธรรม และส่งเสริมความยั่งยืนทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และจิตวิญญาณ</li> <li>สำหรับกิจกรรมถ่ายทอดและการสร้างเครือข่าย คณะผู้วิจัยได้จัดกิจกรรม 2 กิจกรรม โดยโครงการมุ่งเสริมศักยภาพผู้สูงอายุลำพูนผ่านการประดิษฐ์โคมแสนดวง โดยเน้น 1) การถ่ายทอดภูมิปัญญาข้ามวัยผ่านกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ และ 2) การสร้างเครือข่ายสัมมาชีพร่วมกับภาคี พร้อมใช้สื่อออนไลน์พัฒนาอาชีพสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์</li> </ol> พระครูโกวิทอรรถวาที พระครูโกวิทอรรถวาที จันทรัสม์ ตาปูลิง พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์ พระอธิวัฒน์ รตนวณฺโณ ภัชรบถ ฤทธิ์เต็ม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 272 290 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อวิธีคิดแบบผู้ประกอบการของนักศึกษาบริหารธุรกิจ ในสถาบันเทคโนโลยีหลิ่วโจว ประเทศจีน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/280948 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบุคลิกภาพ การศึกษาการเป็นผู้ประกอบการ และวิธีคิดแบบผู้ประกอบการของนักศึกษาบริหารธุรกิจในสถาบันเทคโนโลยีหลิ่วโจว ประเทศจีน และ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพ และการศึกษาการเป็นผู้ประกอบการที่มีต่อวิธีคิดแบบผู้ประกอบการของนักศึกษาบริหารธุรกิจในสถาบันเทคโนโลยีหลิ่วโจว ประเทศจีน ประชากรคือ นักศึกษาสาขาวิชาบริหารธุรกิจในสถาบันเทคโนโลยีหลิ่วโจว ประเทศจีน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 184 คน เครื่องมือวิจัยที่ใช้คือแบบสอบถามซึ่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบุคลิกภาพ การศึกษาการเป็นผู้ประกอบการ และแนวคิดแบบผู้ประกอบการ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละและทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า บุคลิกภาพด้านการเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ( =3.61, S.D.=.880) ด้านความมีระเบียบวินัยและรับผิดชอบ ( =3.58, S.D.=.844) ด้านการแสดงออกทางสังคม ( =3.41, S.D.=.883) และด้านความเห็นอกเห็นใจ ( =3.71, S.D.=.866) อยู่ในระดับมาก ขณะที่บุคลิกภาพด้านความไม่มั่นคงทางอารมณ์ ( =3.29, S.D.=.958) อยู่ในระดับปานกลาง การศึกษาการเป็นผู้ประกอบการมีค่าเฉลี่ยระดับปานกลาง ( =3.25, S.D.=.872) ส่วนวิธีคิดแบบผู้ประกอบการในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยระดับปานกลาง ( =3.35, S.D.=.773) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดแบบผู้ประกอบการของนักศึกษาบริหารธุรกิจในสถาบันเทคโนโลยีหลิ่วโจว ประเทศจีนอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ การศึกษาการเป็นผู้ประกอบการ บุคลิกภาพด้านการเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ด้านการแสดงออกทางสังคม และด้านความมีระเบียบวินัยและรับผิดชอบ</p> ชง เหลียง สำราญ วานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 291 304 กลไกการยกระดับศักยภาพทางการตลาดและสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มเกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดลำพูนสู่การพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน บนฐานเศรษฐกิจคุณธรรม https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/280970 <p>บทความวิจัยนี้มุ่งเน้น 3 ประการ ได้แก่ (1) ศึกษาศักยภาพของกลุ่มเกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดลำพูนในการบริหารจัดการตลาดผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ (2) ออกแบบและพัฒนากลไกการตลาดที่มีประสิทธิภาพเพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการตลาดของกลุ่มเกษตรกรรมยั่งยืน และ (3) ถ่ายทอดองค์ความรู้และสร้างเครือข่ายเพื่อยกระดับศักยภาพของกลุ่มเกษตรกรให้พึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงบนพื้นฐานเศรษฐกิจคุณธรรม การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสาน (Mixed Methods) ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณจากแบบสอบถามกลุ่มเกษตรกรรมยั่งยืน 80 คน การวิจัยเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 15 คนและการระดมความคิดเห็นของผู้นำชุมชน ตลอดจนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อออกแบบและถ่ายทอดองค์ความรู้แก่สมาชิกกลุ่มเกษตรกรรมยั่งยืน</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <ol> <li>การศึกษาจากกลุ่มเกษตรกรรมอินทรีย์ที่ยั่งยืนในอำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ประกอบด้วย 4 กลุ่ม ได้แก่ บ้านต้นผึ้ง–ป่าขาม, บ้านกอลุง, บ้านม่วงต้นผึ้ง และบ้านหนองช้างคืน พบว่า กลุ่มเกษตรกรรมยั่งยืนในลำพูนส่วนใหญ่เป็นหญิงวัยทำงานถึงสูงอายุ มีการศึกษาขั้นกลางและประสบการณ์เกษตรสูง แสดงถึงพื้นฐานที่เข้มแข็ง กลุ่มเกษตรอินทรีย์มีศักยภาพด้านการตลาด โดยเฉพาะการบริหารสินค้าและการต่อรองราคา แม้ยังขาดเทคโนโลยี ทุน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์</li> <li>กลุ่มเกษตรกรรมยั่งยืนลำพูนมีจุดแข็งด้านการผลิตอินทรีย์ตามภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ขาดทักษะการตลาด ทีมวิจัยจึงจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมการใช้ AI ออกแบบแบรนด์ วางแผนตลาดออนไลน์ และเล่าเรื่องผ่านประสบการณ์เกษตรกร เพื่อยกระดับแบรนด์อินทรีย์ชุมชนอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมแนวคิดการพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค เชื่อมโยงช่องทางการขาย</li> <li>การถ่ายทอดองค์ความรู้และสร้างเครือข่ายความร่วมมือ โดยจัดกิจกรรม 2 ด้าน ได้แก่ (1) การอบรมเยาวชนและนิสิตด้านการผลิตเกษตรอินทรีย์แบบยั่งยืน เช่น การทำปุ๋ยหมักและการใช้สมุนไพรควบคุมแมลง และ (2) การวางแผนทำ MOU กับภาคีเครือข่าย เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่ม ผลิต การตลาด และสร้างแบรนด์สินค้าอินทรีย์ตามหลักเศรษฐกิจคุณธรรม</li> </ol> เสน่ห์ ใจสิทธิ์ จันทรัสม์ ตาปูลิง วันเพ็ญ พรินทรากูล พัลลภ หารุคำจา ภราดร สุขพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 332 348 ศึกษาพุทธวิธีการสอนของสามัญญผลสูตรบูรณาการกับการสอนกรรมฐานในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/278018 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพุทธวิธีการสอนที่ปรากฏในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะในสามัญญผลสูตร และการบูรณาการแนวทางดังกล่าวเข้ากับการสอนกรรมฐานในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี โดยอาศัยหลักไตรสิกขา ได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา เป็นแกนหลักในการพัฒนาจิตใจของผู้ปฏิบัติ ทั้งนี้ การสอนในพระไตรปิฎกเน้นการใช้เหตุผล การตั้งคำถาม การยกตัวอย่าง และการลำดับขั้นตอนการเรียนรู้จากเรื่องง่ายไปสู่เรื่องยาก เพื่อกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจและการตระหนักรู้ด้วยตนเอง ซึ่งวิธีการดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการสอนกรรมฐานที่เน้นการฝึกสติและการเจริญปัญญาอย่างเป็นระบบ</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า</strong> พุทธวิธีการสอนในสามัญญผลสูตรเป็นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาจิตใจ โดยเริ่มจากการรักษาศีลเพื่อควบคุมพฤติกรรมทางกาย วาจา และใจ ตามด้วยการฝึกสมาธิเพื่อทำให้จิตมั่นคง และจบลงด้วยการเจริญปัญญาเพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของความทุกข์และความไม่เที่ยงของชีวิต การบูรณาการแนวคิดดังกล่าวเข้ากับการสอนกรรมฐานในระดับมหาวิทยาลัย ช่วยให้นิสิตสามารถเข้าถึงธรรมะได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น และสามารถนำหลักธรรมไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต ตลอดจนพัฒนาตนเองทั้งในด้านวิชาการและจิตวิญญาณ</p> <p>จากการวิเคราะห์ข้อมูลเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับพระวิปัสสนาจารย์ นักวิชาการ และผู้นำนิสิตผู้ปฏิบัติกรรมฐาน จำนวน 15 รูป พบว่า การสอนที่บูรณาการสามัญญผลสูตรกับการสอนกรรมฐานนั้นมีความสอดคล้องกับกระบวนการพัฒนาทางจิตใจอย่างแท้จริง ส่งเสริมการฝึกสติ สมาธิ และปัญญาได้อย่างสมบูรณ์ ผู้เรียนสามารถเข้าใจธรรมะอย่างเป็นลำดับขั้น พร้อมทั้งมีความมั่นคงในจิตใจ และสามารถดำเนินชีวิตด้วยสติและปัญญา ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการศึกษาพระพุทธศาสนา</p> พระสฤทธิ์ สุมโน พระมหาคำพันธ์ ปภากโร ประยงค์ ศรไชย พระบุญเพ็ง ปมุตโต พระอธิการธีระวัฒน์ ภทฺทธมฺโม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 349 361 การแก้ปัญหาความขัดแย้งของประชาคมโลกในยุคหลายขั้วอำนาจ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/276689 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา สภาพปัญหาความขัดแย้งของประชาคมโลกที่สำคัญในยุคปัจจุบัน ได้แก่ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ชิงความเป็นเจ้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ รวมถึงความขัดแย้งในด้านอื่นๆ ได้แก่ ผลประโยชน์เพื่อความอยู่รอดร่วมกันของโลกกับผลประโยชน์แห่งชาติของแต่ละรัฐ ผลประโยชน์กลุ่มประเทศตะวันตกกับประเทศในภูมิภาคอื่น ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจเดิมกับมหาอำนาจใหม่ การขยายตัวของจีนกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติอื่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายสหรัฐฯ ที่กระทบต่อประชาคมโลก กลุ่มรัฐอิสลามกับโลกตะวันตก ตลอดทั้งปัญหาสภาวะแวดล้อมของโลกกับการขยายตัวของประชากรผู้บริโภค จากสภาพปัญหาความขัดแย้งเหล่านี้สามารถวิเคราะห์ถึงแนวทางแก้ปัญหาข้อขัดแย้งผ่านวิธีการที่หลากหลาย ได้แก่ การใช้หลักธรรมาภิบาลสากล การตระหนักในปัญหาที่มนุษยชาติเผชิญร่วมกัน การปรับทัศนคติมนุษยชาติในการมองอารยธรรมร่วมกันของโลก การใช้เหตุผลเชิงตรรกะและการยอมรับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ การดำเนินเศรษฐกิจตลาดเสรี และการปรับรูปแบบของสัญญาประชาคมสู่พหุภาคีนิยมและการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว บทความนี้มุ่งศึกษาสภาพปัญหาความขัดแย้งของประชาคมโลก และค้นหาแนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งของประชาคมโลกในยุคหลายขั้วอำนาจ</p> สมนึก จันทร์โสดา พระสิริชัย ธมฺมจาโร พระเสกสรรค์ ฐานยุตฺโต ไชยชาติ สิทธิมนต์ ติสันเทียะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 65 76 พระพุทธศาสนากับสิทธิมนุษยชน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/276660 <p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา “พระพุทธศาสนากับสิทธิมนุษยชน” พบว่า ปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่นำมาเทียบเคียงกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ที่มีความสอดคล้องกับแนวคิดสิทธิมนุษยชนสากลทางด้านสิทธิและเสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็น สิทธิในชีวิต ความเสมอภาค เกียรติ และศักดิ์ศรี แห่งความเป็นมนุษย์ที่สอดแทรกหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่จะช่วยให้ชาวพุทธได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน ล้วนแล้วแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันตามหลักเบญจศีลหรือศีล 5 หลักศรัทธา หลักแห่งกรรม หลักประโยชน์ 3 ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้ปฏิบัติ ตามความรู้ความสามารถทางสติปัญญาของแต่ละบุคคลที่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนที่เป็นแนวปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขของชนหมู่มาก เพื่อส่งเสริมให้ปฏิเสธความชั่ว สนับสนุนให้กระทำความดี ในฐานะที่เป็นมนุษย์นั้นเอง</p> สุรเวท โตเจริญ สรวิชญ์ วงษ์สอาด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-02 2025-08-02 2568 3 ึึึ77 91 นิเวศวิทยาในพระไตรปิฎก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/277239 <p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์จะศึกษาเรื่อง “นิเวศวิทยาในพระไตรปิฎก” พบว่า ระบบนิเวศมีความสำคัญต่อภิกษุสงฆ์ที่ใช้เป็นที่ปฏิบัติกิจทางศาสนาและยังเป็นที่อยู่อาศัยของภิกษุสงฆ์ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ประกาศพระสัทธรรม และดับขันธปรินิพพาน ล้วนแล้วมีความเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศทั้งสิ้น ซึ่งในพระไตรปิฎกมีการบันทึกหลักฐานเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ 3 ระบบ ได้แก่ ระบบนิเวศบนบก ระบบนิเวศในน้ำ และระบบนิเวศในอากาศ ในการรักษาไว้ให้คงเดิม รักษาสิ่งที่เคยมีเคยเป็นอยู่แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข เปลี่ยนแปลง สร้างสรรค์ให้คงอยู่ในสภาพเดิม เพื่อดำรงอยู่ 1 รูปแบบ คือ รูปแบบของการอนุญาตและรูปแบบของข้อห้ามของภิกษุสงฆ์ที่อาศัยป่าเป็นเสนาสนะ ที่พระพุทธศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศทั้งบนบก ในน้ำ และในอากาศ ที่พระสงฆ์เป็นผู้นำ ช่วยอนุรักษ์ และพัฒนาระบบนิเวศจากที่เสื่อมโทรให้อุดมสมบูรณ์ ดำรงอยู่อย่างยั่งยืนได้</p> พระชัยรัตน์ สีลวฑฺฒโน สรวิชญ์ วงษ์สอาด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 124 140 การเชื่อมโยงกฎหมายมนุษย์และความเชื่อเรื่องพระเจ้าในปรัชญาของนักบุญ โทมัส อไควนัส https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/280214 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์การเชื่อมโยงกฎหมายมนุษย์และความเชื่อเรื่องพระเจ้าในปรัชญาของอไควนัส พบว่า มนุษย์สามารถเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติได้ด้วยเหตุผล ด้วยการใช้เหตุผลอย่างถูกต้องจะนำไปสู่การเข้าใจหลักการศีลธรรมขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะในเรื่องของพระเจ้า การดำรงอยู่ และระเบียบของจักรวาลที่ปราศจากความเปลี่ยนแปลงและศักยภาพใดๆ ความสมบูรณ์นี้เองทำให้พระเจ้าเป็นต้นธารของการดำรงอยู่และระเบียบของสรรพสิ่งทั้งปวง แม้ว่ากฎหมายมนุษย์จะถูกสร้างขึ้นเพื่อบังคับใช้ในสังคม แต่ก็มีขอบเขตและหน้าที่ที่ชัดเจน พลเมืองมีสิทธิที่จะไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม การแบ่งระนาบของการดำรงอยู่ระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับสิ่งสามัญ การแทรกแซงของอำนาจเหนือธรรมชาติต่อกิจกรรมของมนุษย์ กฎหมายจึงไม่ใช่เพียงกลไกทางสังคมหากแต่เป็นภาพสะท้อนของระเบียบแห่งจักรวาลที่มนุษย์ควรปรับตนให้สอดคล้อง โดยนำเสนอจิตวิญญาณในฐานะที่เป็นแก่นของมนุษย์และเป็นช่องทางที่มนุษย์เข้าถึงสิ่งสูงสุดเช่นความดีงาม ผ่านการใคร่ครวญทางปัญญาต้นแบบของความดีงามและความยุติธรรมถูกถือเป็นจุดสูงสุดของการรู้แจ้ง ในคัมภีร์ไบเบิล ยอห์น 1:12 ได้กล่าวไว้ว่า “พระองค์ประทานสิทธิให้แก่บรรดาผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ให้เป็นบุตรของพระเจ้า”เป็นการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าดั่ง “บุตรกับบิดา” ถือเป็นการยกระดับความเชื่อจากการยอมจำนนด้วยความกลัวไปสู่ความรักและความผูกพันที่แท้จริง</p> พระธีรพล ณฏฺฐิโก พัชริน จินดาปทีป พรระวี หมื่นสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 209 216 มาตรการทางกฎหมายกับการปาราชิกพระสงฆ์ผู้เสพเมถุน https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/280636 <p>บทความนี้ศึกษาปัญหาพระภิกษุประพฤติผิดพระธรรมวินัยด้วยการเสพเมถุน ซึ่งเป็นอาบัติปาราชิก กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยในสังคมไทยและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของพุทธศาสนิกชนอย่างกว้างขวาง กฎหมายไทยยังไม่มีบทบัญญัติทางอาญาที่กำหนดโทษแก่พระภิกษุหรือฆราวาสที่เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว ทำให้แนวทางการดำเนินการทางกฎหมายยังไม่ชัดเจนและไม่เพียงพอต่อการป้องปราม บทความนี้จึงเสนอมาตรการทางกฎหมายเพิ่มเติม อาทิ การเพิ่มมาตราในประมวลกฎหมายอาญาหมวดศาสนา หรือการสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพระพุทธศาสนิกชน พ.ศ. ... ที่มีบทลงโทษสำหรับพระที่กระทำผิด</p> ณภัทร ใจเอ็นดู ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 262 271 การพัฒนาค่านิยมประชาธิปไตยสู่วัฒนธรรมทางการเมืองยุคใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/278188 <p>บทความวิชาการนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์และเสนอแนวทางในการพัฒนาค่านิยมประชาธิปไตยเพื่อสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปโดยพิจารณาถึงความสำคัญของค่านิยมประชาธิปไตยในฐานะรากฐานของสังคมประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง และเสนอแนะแนวทางในการส่งเสริมค่านิยมเหล่านี้ผ่านกระบวนการทางการศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชน และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งการพัฒนาค่านิยมประชาธิปไตยเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่เข้มแข็งและยั่งยืนในยุคปัจจุบันค่านิยมประชาธิปไตยมีผลกระทบต่อวัฒนธรรมทางการเมืองในสังคมยุคใหม่โดยอาศัยกรอบแนวคิดทางรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์พบว่าค่านิยมประชาธิปไตยสามารถปลูกฝังผ่านการศึกษา การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง นอกจากนี้ปัจจัยทางเทคโนโลยีและสื่อดิจิทัลยังส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมทางการเมืองในยุคปัจจุบันการพัฒนาแนวทางที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมค่านิยมประชาธิปไตยจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประชาธิปไตยสามารถดำรงอยู่และพัฒนาไปตามบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลง</p> พระกฤษฎา อคฺคจิตฺโต ปรชล พงศ์ชัญ พัชรีญา ฟองจันตา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 154 163 ชุมชนต้นแบบจิตอาสารักถิ่น : กระบวนการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมจิตอาสารักถิ่นสู่สังคมสันติสุข อำเภอภักดีชุมพล จังหวัดชัยภูมิ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/280119 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาจิตอาสาผู้นำพัฒนา “จิตอาสา” คือ จิตที่พร้อมจะสละเวลา แรงกาย และสติปัญญา เพื่อสาธารณประโยชน์เป็นจิตที่ไม่นิ่งดูดายเมื่อพบปัญหาหรือความทุกข์ยากเกิดขึ้นกับผู้อื่น เป็นจิตที่มีความสุขเมื่อได้ทำความดี และเห็นน้ำตาเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม เป็นจิตที่เปี่ยมด้วยบุญคือสงบสุขเย็น จิตอาสาเป็นคุณธรรมหนึ่งที่สังคมปรารถนาให้สมาชิกยึดถือ เพราะผู้มีจิตอาสาจะเป็นผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัวไม่นิ่งดูดายต่อความเดือดร้อนของผู้อื่น ผู้ที่มีจิตอาสาจะเป็นบุคคลที่สำนึกต่อสังคมส่วนรวม โดยการเอาใจใส่ และช่วยเหลือผู้อื่น คนในสังคมช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ประเทศที่พัฒนาแล้วจึงให้ความสำคัญต่อจิตอาสาอย่างมาก บางประเทศอย่างเช่นสหรัฐอเมริกา บังคับให้กิจกรรมอาสาเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษา ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นกิจกรรมที่สร้างผู้ที่มีจิตอาสาได้ ประเทศที่มีสมาชิกเป็นผู้มีจิตอาสามีอาสาสมัครมากก็จะเอื้อต่อการพัฒนาประเทศและลดงบประมาณในการพัฒนาของหน่วยงานของรัฐจิตอาสานอกจากจะเป็นผลดีต่อสังคมแล้ว การมีจิตอาสายังช่วยให้ผู้ที่มีจิตอาสามีสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดี มีความสุขในชีวิต</p> <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษากระบวนการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมจิตอาสารักถิ่นสู่สังคมสันติสุขอำเภอภักดีชุมพล จังหวัดชัยภูมิ 2. เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมจิตอาสารักถิ่นสู่สังคมสันติสุขตามหลักสาราณียธรรมอำเภอภักดีชุมพล จังหวัดชัยภูมิ 3. เพื่อจัดทำคู่มือและตั้งศูนย์เครือข่ายชุมชนจิตอาสารักถิ่นสู่สังคมสันติสุขอำเภอภักดีชุมพล จังหวัดชัยภูมิ มีระเบียบวิธีวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญ 9 คน ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกและการวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง 311 คน เครื่องมือที่ใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์วิเคราะห์ข้อมูลหาค่าความถี่ ค่าร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าทีเทส ค่าเอฟเทส และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการพรรณนาความ</p> พระนรินทร์ เอมพันธ์ ผศ.ดร. ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 305 316 ความท้าทายแนวการใช้ปัญญาประดิษฐ์(AI)สู่การบริหารสถานศึกษายุคใหม่ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jcr/article/view/280771 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวคิดการบริหารสถานศึกษายุคใหม่ในความท้าทายของผู้บริหารการศึกษาในบริบทของการใช้ปัญญาประดิษฐ์(AI) ในแง่วิธีการคิด วิธีปฏิบัติ การตั้งรับกับการจัดการศึกษาในสถานศึกษา ซึ่งปัจจุบันที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามบริบท การปรับรูปแบบและคิดใหม่ สิ่งจำเป็นต้องปรับรูปแบบในด้านต่างๆ อาทิ เทรนด์ผู้นำของการบริหารสถานศึกษาแห่งยุค AI , บทบาทของ AI , การเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ทางการศึกษา, การคิดเชิงกลยุทธ์(Strategic Thinking) เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาและหาแนวทางที่ดีที่สุดในการบริหารการศึกษา อีกทั้งการพัฒนาแนวคิดการบริหารจัดการแบบการบูรณาการย้อนหลัง (Backward Integration)และการบูรณาการไปข้างหน้า (Forward Integration) และแนวทางในการบริหารการศึกษาให้เป็นไปตามนโยบายที่เหมาะสมของสถานศึกษาในเชิงรุก รวมถึงการตระหนักในการมีจริยธรรมทางวิชาการ ทั้งยังช่วยป้องกันความเสี่ยง ความลำเอียงในการวิเคราะห์ข้อมูล และเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างแท้จริง</p> ชัชชญา พีระธรณิศร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-07 2025-09-07 2568 3 317 331