ทัศนคติของประชาชนที่มีต่อคุณลักษณะของเมืองแห่งการเรียนรู้ ในบริบทกรุงเทพมหานคร
คำสำคัญ:
ทัศนคติ, กรุงเทพมหานคร, เมืองแห่งการเรียนรู้บทคัดย่อ
การวิจัยเชิงปริมาณครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทัศนคติที่มีต่อคุณลักษณะของเมืองแห่งการเรียนรู้ ในบริบทของกรุงเทพมหานคร และ 2) เสนอแนะแนวทางการพัฒนากรุงเทพมหานครสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ทัศนคติที่มีต่อคุณลักษณะของเมืองแห่งการเรียนรู้ในบริบทของกรุงเทพมหานคร ทั้งรายด้านและในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง แปลความหมายได้ว่า กลุ่มตัวอย่างในกรุงเทพมหานครเห็นด้วยว่าคุณลักษณะของเมืองแห่งการเรียนรู้ในบริทบของกรุงเทพมหานครสอดคล้องกับสภาพปัจจุบันของกรุงเทพมหานครปานกลาง ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนากรุงเทพมหานครสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ คือ 1) มีมาตรการส่งเสริมเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว 2) ส่งเสริมการเรียนรู้ในครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ของประชาชนในกรุงเทพมหานคร และสร้างความสัมพันธ์อันดีภายในครอบครัว และ 3) อำนวยความสะดวกให้ประชาชนในกรุงเทพมหานครเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้ง่าย เช่น จัดเตรียมรถโดยสารให้ประชาชน ใช้สื่อการเรียนรู้ที่ดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้มากขึ้น เช่น สื่อเชิงโต้ตอบ และติดตั้งอุปกรณ์และเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการสืบค้นข้อมูลที่ต้องการ
เอกสารอ้างอิง
นิรมล เสรีสกุล และธนพร โอวาทวรวรัญญู. (2565). การวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคมในการขับเคลื่อนแนวคิดเมืองแห่งการเรียนรู้ของกรุงเทพมหานคร กรณีศึกษาย่านกะดีจีน-คลองสาน. วารสารสถาบันพระปกเกล้า, 20(2), 45-67.
นิรมล เสรีสกุล, อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ และพรรณปพร บุญแปง. (2564). กรุงเทพฯ สู่การเป็นมหานครแห่งการเรียนรู้. สืบค้นเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2565 จาก https://theurbanis.com/insight/09/04/2021/4431
วราภรณ์ นาคคง, ชนิตา รักษ์พลเมือง และอมรวิชช นาครทรรพ. (2560). แนวทางการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ตามยุทธศาสตร์ของกรุงเทพมหานคร. วารสารครุศาสตร์, 44(3), 194-211.
สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล. (2561). แนวทางการจัดศึกษาตลอดชีวิตเพื่อขับเคลื่อนชุมชนการเรียนรู้ ในบริบทสังคมและวัฒนธรรมของประเทศไทย. วารสารศึกษาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 46(2), 218-239.
Agbedahin, A. V. (2019). Sustainable development, education for sustainable development, and the 2030 agenda for sustainable development: Emergence, efficacy, eminence, and future. Sustainable Development, 27(4), 669-680.
CISCO. (2010). The learning society. San Jose, CA: CISCO Public Information.
Dabyltayeva, N., & Rakhymzhan, G. (2019). The green economy development path: Overview of economic policies priorities. Journal of Security & Sustainability Issues, 8(4), 643-651.
Daggol, G. D. (2017). Lifelong learning: not a 21st century, but an omnitemporal skill. International Journal of Social Humanities Sciences Research (JSHSR), 4(12), 1254-1267.
Gee, E., Siyahhan, S., & Cirell, A. M. (2017) Videogaming as digital media, play, and family routine: implications for understanding video gaming and learning in family contexts. Learning, Media and Technology, 42(4), 468-482.
Keddie, A. (2018). Adult education: An ideology of individualism. In Thompson, J. L. (Editor), Adult education for a change. (pp. 45-64). Routledge.
Schiffman, L. G., & Kanuk, L. L. (1994). Consumer behavior (5th ed.). Englewood Cliffs, N.J.: Prentice-Hall.
Spagnola, M., & Fiese, B. H. (2007). Family routines and rituals: A context for development in the lives of young children. Infants & Young Children, 20(4), 284-299.
UNESCO Institute for Lifelong Learning. (2015). UNESCO global network of learning cities: Guiding documents. Hamburg: UNESCO Institute for Lifelong Learning.
________________. (2022). Members of the UNESCO Global Network of Learning Cities. Retrieved November 11, 2022 from https://uil.unesco.org/lifelong-learning/learning-cities/members
World Bank. (2012). Inclusive green growth: The pathway to sustainable development. Washington, DC: The World Bank. https://doi.org/10.1596/978‐0‐8213‐9551‐6
Yamane, T. (1967). Statistics, an introductory analysis (2nd Ed.). New York: Harper and Row.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2023 Sornpravate Krajangkantamatr

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
สหศาสตร์: วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองลิขสิทธิ์และสิทธิของผู้นิพนธ์ในการเผยแพร่ผลงานวิชาการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความโปร่งใส ความถูกต้องตามหลักวิชาการ และสอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากล ทั้งนี้ วารสารกำหนดนโยบายดังต่อไปนี้
|
1. การยอมรับเงื่อนไขการเผยแพร่ - ผู้นิพนธ์ที่ส่งบทความเพื่อตีพิมพ์ ต้องปฏิบัติตามนโยบายและเงื่อนไขการเผยแพร่ของวารสารโดยเคร่งครัด - การส่งบทความถือเป็นการยอมรับให้นำบทความเข้าสู่กระบวนการพิจารณาและการเผยแพร่ตามมาตรฐานของวารสาร |
|
2. การโอนลิขสิทธิ์ - เมื่อบทความได้รับการตอบรับเพื่อตีพิมพ์ ผู้เขียนโอนลิขสิทธิ์ของบทความให้แก่วารสาร - วารสารมีสิทธิ์เผยแพร่ ทำซ้ำ และเผยแพร่บทความในทุกรูปแบบ ทั้งสิ่งพิมพ์ เว็บไซต์ และสื่อออนไลน์อื่น ๆ |
|
3. สิทธิ์ของผู้นิพนธ์หลังการโอนลิขสิทธิ์ - ผู้นิพนธ์ยังคงมีสิทธิ์ใช้บทความเพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาการ เช่น การสอน การวิจัยส่วนบุคคล การใช้ประกอบวิทยานิพนธ์ หรือการเผยแพร่ในแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ - การนำบทความไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์ ต้องได้รับอนุญาตจากวารสารก่อนเป็นลายลักษณ์อักษร |
|
4. การเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตสาธารณะ (Creative Commons License) - บทความทั้งหมดในวารสารจะเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) - บุคคลอื่นสามารถเผยแพร่หรือแบ่งปันบทความได้โดยต้องให้เครดิตแก่ผู้นิพนธ์ต้นฉบับ แต่ห้ามแก้ไข ดัดแปลง หรือใช้ในเชิงพาณิชย์ |
|
5. ความถูกต้องของเนื้อหาและการใช้สื่อจากบุคคลที่สาม - ผู้เขียนต้องรับรองว่าบทความที่ส่งเพื่อตีพิมพ์เป็นผลงานต้นฉบับของตนเอง ไม่ได้ส่งซ้ำซ้อน (duplicate submission) และไม่ละเมิดลิขสิทธิ์หรือคัดลอกผลงานของผู้อื่น รวมถึงไม่มีการปลอมแปลงข้อมูล การตีพิมพ์ซ้ำ หรือการกระทำใด ๆ ที่ขัดต่อหลักจริยธรรมทางวิชาการ - ผู้เขียนต้องรับผิดชอบในการขออนุญาตใช้สื่อจากบุคคลที่สาม เช่น ภาพ ตาราง หรือกราฟิก และต้องอ้างอิงหรือให้เครดิตอย่างถูกต้องน |
|
6. ข้อจำกัดความรับผิดชอบ (Disclaimer) - บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารสหศาสตร์: วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร - ข้อความ ข้อมูล และข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่ละท่านโดยตรง มิได้สะท้อนถึงทัศนะหรือจุดยืนของกองบรรณาธิการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง - หากบทความมีข้อผิดพลาดหรือการละเมิดสิทธิ์ใด ๆ ความรับผิดชอบทั้งหมดเป็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว - การนำบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากบรรณาธิการวารสารก่อน ทั้งนี้ ผู้ขออนุญาตต้องจัดทำคำชี้แจงเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และลักษณะการใช้งานอย่างชัดเจน การใช้บทความในเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว |

