การพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงพุทธ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

Main Article Content

วิทยา ทองดี
สุรพล พรมกุล
สุธิพงษ์ สวัสดิ์ทา
สมควร นามสีฐาน

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพการเรียนรู้เชิงพุทธกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 2) เพื่อสร้างรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงพุทธ 3) เพื่อประเมินผลรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงพุทธ ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่โรงเรียน โดยใช้การสุ่มแบบเจาะจง รวม 25 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ และแบบสนทนากลุ่มเฉพาะ  การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา


         


 


 


 


          ผลการวิจัยพบว่า


  1. 1.  สภาพกระบวนการเรียนเชิงพุทธกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม มี 2 ส่วนคือ 1) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักสูตร โดยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1.ขั้นนำ ขั้นสอน 3.ขั้นสรุป และ 4.ขั้นประเมินผล 2) การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร

          2.การสร้างรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงพุทธกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 การปลูกฝังสัมมาทิฏฐิ คือ การที่ครูให้นักเรียนฝึกคิดอย่างถูกวิธี ได้แก่ 1.1) การคิดแบบสืบสาวหาเหตุปัจจัย 1.2) การคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ 1.3) การคิดแบบสามัญลักษณ์ 1.4) การคิดแบบอริยสัจ 1.5) การคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ 1.6) การคิดแบบเห็นคุณเห็นโทษ 1.7) การคิดแบบคุณค่าแท้ คุณค่าเทียม 1.8) การคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม 1.9) การคิดแบบมีสติเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน 1.10) การคิดแบบวิภัชชวาท ขั้นตอนที่ 2 การฝึกตนตามหลักของไตรสิกขา ได้แก่ 2.1) อธิสีลสิกขาคือการพัฒนาด้านความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ทั้งสิ่งแวดล้อมด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อมทางสังคม 2.2) อธิจิตตสิกขา คือการพัฒนาภาวะจิต ฝึกจิตให้เข้มแข็งมีความพร้อมต่อการใช้งานทางปัญญา 2.3) ด้านอธิปัญญาสิกขา คือ รู้และเข้าใจปัญหาตามความเป็นจริง แก้ไขปรับปรุงปัญหาได้อย่างถูกต้อง ขั้นตอนที่ 3 การพัฒนาตนตามหลักภาวนา 4 คือ 3.1) กายภาวนา คือการพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ 3.2) ศีลภาวนา การพัฒนาด้านความประพฤติให้ดีขึ้น มีระเบียบวินัย 3.3) จิตภาวนา คือ การสร้างให้มีสุขภาพจิตที่ดี 3.4) ปัญญาภาวนา คือ การมองเห็นหลักของเหตุและผล สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้


  1. 3. ผลการประเมินผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่า ในภาพรวมของรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงพุทธ กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม มีความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 98 และ 5.00  และผู้ปกครอง/พ่อแม่ และชุมชนมีความพึงพอใจต่อพฤติกรรมของนักเรียนอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.58  

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
ทองดี ว. ., พรมกุล ส. . ., สวัสดิ์ทา ส., & นามสีฐาน ส. . . (2019). การพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงพุทธ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม. วารสารบัณฑิตศึกษามหาจุฬาขอนแก่น, 6(4), 858–875. สืบค้น จาก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jg-mcukk/article/view/240417
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

Anchalee Sarattana et al., (2003). The Condition Of Curriculum Development Of Network Schools and Pilot Schools In The Northeast Region: A Multi-Case Study. research program, Office of
Academic Resource Services: Khon Kaen University.
Keyser. R. (2004). Assessing The Relationship Between Knowledge Management and Plant Performance At The Tennessee Valley Authority. Ph.D.Dissertation (Industrial and System
Engineering and Engineering Management). The University of Alabama.
Phra Dithawat Aphiwatthano (Thipphun). (2018). Buddhist Methods of Teaching and Learning in Social Studies Religion and culture Secondary level of Sang and Khon Kaen Municipality
School. Master of Buddhist Thesis. Graduate School: Mahachulalongkornrajavidyalaya University.
Phrakhru Phipitthammaphon (Bun Tan Srithong). (2013). Application Of Buddha's Style Of Teaching Of Moral Teaching Monks In Schools At Phichit Province. Master of Buddhist Thesis.
Graduate School: Mahachulalongkornrajavidyalaya University.
Sri Phrai Chan Khiao. (2015). Learning Management of Buddhism by Buddhist Integrated Method. Bachelor of Buddhist Thesis. Graduate School: Mahachulalongkornrajavidyalaya
University.
Thit Na Khemmanee et al., (2001). Cognitive Science. Bangkok: Institute for Academic Quality Development.