A Set of Ideas on Songs Produced by the National Council for Peace and Order: A Critical Discourse
Keywords:
set of ideas, songs, NCPOAbstract
This article aimed to analyze a set of ideas appeared on songs produced by the National Council for Peace and Order (NCPO) from 2014 to 2019 on the basis of critical discourse analysis. The information used in this study was 12 songs collected from YouTube website. The findings from the study revealed that there were five sets of ideas, namely, the military, the nation, the people, the democracy, and the king. As related to discourse practice created by the military, therefore, the military passed on their thoughts through songs produced and made known to the public. With regard to social and cultural practices, they were associated with Thai society which was full of political conflicts. Accordingly, the military paid attention to patriotism, harmony and reconciliation, and respect for the monarchy that had an influence on the development of those mindsets. Therefore, the mindsets appeared in the songs produced by the NCPO acted as an important tool that passed on the thoughts indicating social dimension at that time. Meanwhile, they contributed to controlling people’s behaviors to become desirable citizens according to the military’s expectations since it was the period Thailand dealt with political conflicts.
References
ณิชพร แก้วสถิต. (2563). การศึกษาการสร้างสรรค์งานเพลงเพื่อสะท้อนสังคมของวงเยนา. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยดุริยางควิทยา, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
เทพ บุญตานนท์. (2560). เพลงมาร์ชทหารกับการสร้างภาพลักษณ์กองทัพผู้ปกป้องชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์. วารสารมนุษยศาสตร์สาร, 17(2), หน้า 129-171.
ธนวัตร มัททวีวงศ์. (2559). การวิเคราะห์วาทกรรมเชิงวิพากษ์ในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ. วิทยานิพนธ์วารสารศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริการสื่อสารมวลชน, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
นฤมล ทับจุมพล. (2531). การใช้สื่อในการสร้างอุดมการณ์ทางการเมือง: ศึกษาจากบทเพลงของทางราชการ (พ.ศ. 2475 – พ.ศ. 2530). วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการปกครอง, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ประภาพร สีหา. (2559). ความขัดแย้งทางการเมืองกับรัฐประหาร ปี พ.ศ. 2557. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการปกครอง, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ปิยมาศ มาวงศ์. (2564). อำนาจของภาษาที่มีต่อวาทกรรม: อำนาจของวาทกรรมชาตินิยมในเพลงปลุกใจ. วารสารมังรายสาร, 9(2). หน้า 51-58.
ภัททิรา วิภวภิญโญ. (2558). กลวิธีทางภาษาที่ปรากฏในบทเพลงของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ. วารสารศิลปศาสตร์, 15(2), หน้า 145-161.
ยิ่งลักษณ์ บุญเก็บ. (2552). การใช้เพลงปลุกใจในฐานะสื่อประสัมพันธ์ให้คนไทยสำนึกรักชาติของกองทัพบก พ.ศ. 2547-2550. วิทยานิพนธ์นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการประชาสัมพันธ์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
รุจฬ์สวัตต์ ครองภูมินทร์. (2558). มายาคติในบทเพลงของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ. วิทยานิพนธ์วารสารศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสื่อสารมวลชน, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สุนทรี โชติดิลก. (2560). บุญ: ความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับอุดมการณ์ในวาทกรรมที่ผลิตโดย วัดพระธรรมกาย. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อิงอร เนตรานนท์. (2563). พลังอำนาจแห่งชาติซอฟต์พาวเวอร์ของไทยในศตวรรษที่ 21. วารสารสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ, 11(1), หน้า 33-47.
เอกจิต สว่างอารมณ์. (2560). การศึกษาวาทกรรม “ประชามติ” ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติ. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์และนวัตกรรม, สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
Fairclough, N. (1989). Language and Power. London: Longman.
Van Dijk. (2006). Discourse and Manipulation. Discourse & Society, 17(3), pp. 359-383.
Downloads
Published
How to Cite
Issue
Section
License
Copyright (c) 2023 Dhonburi Rajabhat University

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
- บทความในวารสารวิชาการมนุษย์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี เป็นความคิดเห็นของผู้นิพนธ์ ไม่ใช่ความคิดเห็นของกองบรรณาธิการ และไม่ใช่ความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการและ/หรือของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
- กองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์ในการคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแสดงที่มา
- บทความที่ได้รับตีพิมพ์จะมีการตรวจความถูกต้องเหมาะสมจากกองบรรณาธิการและผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง (peer review) จำนวน 3 คน โดยผู้ทรงคุณวุฒิจะไม่ทราบผู้นิพนธ์ และผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ (double-blind peer review)
