The Effects of Using the Self-Esteem Development Activities Form to Reduce Bullying Behavior Among Student Teachers at Yala Rajabhat University

Main Article Content

Karantharak Vitaya-apibalkul

Abstract

The objectives of this research were 1) to develop a activity forms to reduce bullying behavior of student teacher of the Faculty of Education, Yala Rajabhat University. 2) to study the effect of using activity forms to reduce bullying behavior of student teacher of the Faculty of Education, Yala Rajabhat University. The methodology of this research was based on the quasi-experimental The research sample consisted of 29 students in the field of primary education 1st grade, Faculty of Education, Yala Rajabhat University, academic year 2020 by using a specific random sampling method. The sample group will participate in the training to develop self-esteem to reduce bullying behavior, consisting of 8 times, consisting of 8 main activities. Evaluation of self-esteem to reduce bullying behavior before and after the experiment by using self-esteem to reduce bullying behavior questionnaire. Assessment was conducted before and after the program with Self-Esteem Inventory. Analytical statistics used were percentages, means ( ), standard deviation (S.D.), and t-test. The results were; 1) Received 1 set of activities to reduce bullying behavior of student, consisting of self-esteem development to reduce bullying behavior of youth, divided into 2 areas, which are self and others, consisting of 8 activities. Conformity criteria has a score of 1.00 and has an evaluation of suitability at the highest level (with an average of 4.70). 2) results after the students’ participated in the Self-Esteem to prevent bullying behavior Activity forms showed that the self-esteem to prevent bullying behavior of these students was significantly increased at .01 level.

Article Details

How to Cite
Vitaya-apibalkul, K. (2022). The Effects of Using the Self-Esteem Development Activities Form to Reduce Bullying Behavior Among Student Teachers at Yala Rajabhat University. Education Journal Faculty of Education, Nakhon Sawan Rajabhat University, 5(1), 32–44. Retrieved from https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/250633
Section
Research Articles

References

กรัณฑรักข์ วิทยอภิบาลกุล. (2560). การพัฒนาโปรแกรมการพัฒนาการเห็นคุณค่าในตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้. รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์, คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา.

เกษตรชัย และหีม. (2560). สภาพปัญหาการคัดกรองและป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงต่อการรังแกผู้อื่นของนักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดยะลา. วารสารปาริชาต มหาวิทยาลัยทักษิณ, 30(2): กรกฎาคม - ธันวาคม.

เกษตรชัย และหีม และคณะ. (2555). รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงการพฤติกรรมการรังแกผู้อื่นของนักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จังหวัดปัตตานี. ได้รับทุนสนับสนุนวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).

เกษตรชัย และหีม. (2561). การพัฒนารูปแบบการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงต่อการรังแกผู้อื่นของนักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดยะลา. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 10(1): มกราคม - มิถุนายน.

ชนัฐชาร์ เขียวชอุ่ม. (2549). ผลของการใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์เพื่อพัฒนาการเห็นคุณค่าในตนเองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีการสนับสนุนจากเพื่อนแตกต่างกัน. (วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, คณะศึกษาศาสตร์, สาขาวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ.

ณัฐริกา รอดสถิตย์. (2558). ผลของการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามแนวทางสันติวิธีเพื่อลดระดับความรุนแรงระหว่างนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6. ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประถมศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ธันยากร ตุดเกื้อ. (2562). แนวทางการป้องกันพฤติกรรมการรังแกบนโลกไซเบอร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้. วารสารพฤติกรรมศาสตร์เพื่อการพัฒนา, 11(1): 91 – 106.

นันทกา ชมพูบุตร. (2549). การพัฒนาโปรแกรมการศึกษานอกระบบโรงเรียนเพื่อเสริมสร้างการเห็นคุณค่าในตนเองของเด็กชายในสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี. (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะครุศาสตร์, สาขาวิชาการศึกษานอกระบบโรงเรียน.

บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์. (28 มกราคม 2561). บทความด้านสุขภาพจิต “ไทยอันดับ2 “เด็กรังแกกันในโรงเรียน” พบเหยื่อปีละ 6 แสนคน”. [Online]: https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=27485. สืบค้นวันที่ 27 สิงหาคม 2562.

ปวริศร์ กิจสุขจิต. (2559). ปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้เกิดการรังแกกันในโรงเรียนมัธยมสตรี ในกรุงเทพมหานคร ตามแนวคิดทฤษฎีเรียนรู้ของโรนัลด์ แอล เอเคอร์. วารสารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 27(1): 72 – 80.

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 4 ธันวาคม 2554. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์.

ฤทัยชนนี สิทธิชัย และธันยากร ตุดเกื้อ. (2560). พฤติกรรมการรังแกบนโลกไซเบอร์ของเยาวชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้. วารสารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 28(1): 86 – 99.

รัศมีแสง หนูแป้นน้อย. (2561). การเห็นคุณค่าในตนเอง การสนับสนุนทางสังคม และพฤติกรรมรังแกกันในนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น. วารสารการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต, 32(ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม 2561): 13 – 32.

สมร แสงอรุณ. (2554). การศึกษาและพัฒนากลยุทธ์การป้องกันตนเองจากการถูกข่มเหงรังแกของนักเรียนวัยรุ่นโดยการให้คำปรึกษากลุ่ม. ปริญญาการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการให้คำปรึกษา, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

Besag, V. (2006). Bullying Among Girls. School Psychology International, 27(5), 535.

Kalaitzaki, A. E. & Birtchnell, J. (2014). The impact of early parenting bonding on young adults’ Internet addiction, through the mediation effects of negative relating ot others and sadness. Addictive Behaviors, 39(2014): 733 – 736.

Rigby, K., & Australian Council for Educational Research. (1996). Bullying in schools and what to do about it. Melbourne, Vic.: ACER.