https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/issue/feed วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ 2025-10-01T00:00:00+07:00 Asst.Prof.Dr.Paponsan Potipitak paponsan.p@nsru.ac.th Open Journal Systems <p> </p> <p><strong>วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ </strong></p> <p>ISSN : 2774-1370 (Online)</p> https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/275627 ความฉลาดทางอารมณ์ของนิสิตระดับอุดมศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ สังกัดสถาบันการศึกษาเอกชน 2025-04-14T09:15:17+07:00 สุทธิรัตรน์ พิมพ์พงศ์ suthirat2012@gmail.com ณัฐฉวี อ๊อกซู edujournal@nsru.ac.th มยุรี ชาวนปรีชา edujournal@nsru.ac.th อัญชลี นวลคล้าย edujournal@nsru.ac.th อรพินทร์ คล้ายทับทิม edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความฉลาดทางอารมณ์ และ 2) ปัจจัยที่มีผลต่อความฉลาดทางอารมณ์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ นิสิตสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัย สังกัดสถาบันการศึกษาเอกชนในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่าง คือนิสิตสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น กาญจนบุรี ที่สมัครใจ จำนวน 158 คน เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูลเป็น แบบสอบถาม มี 2 ตอน ตอนที่1 ข้อมูลทั่วไป 4 ข้อ ตอนที่2 แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ของกรมสุขภาพจิต แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 52 ข้อ มีองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ ด้านดี ด้านเก่งและ ด้านสุข 16 ข้อ โดยรวม วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่าย และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เชิงพหุคูณ ผลการวิเคราะห์พบว่า</p> <p> 1) นิสิตมีความฉลาดทางอารมณ์เฉลี่ยอยู่ในระดับปกติในทุกด้าน และนิสิตปี 1 มีความฉลาดทางอารมณ์ทุกด้านสูงกว่านิสิตปี 2, 3 และ 4 2) ความฉลาดทางอารมณ์ทุกด้านและโดยรวมมีความสัมพันธ์ในทางบวก (p&lt;0.01) 3) ความฉลาดทางอารมณ์ของนิสิตมีอิทธิพลต่อการเลือกศึกษาในคณะวิชาที่ต่างกัน 4) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความฉลาดทางอารมณ์สูงที่สุด คือ ระดับชั้นปี 5) ความฉลาดทางอารมณ์ ด้านเก่งเป็น ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ คือคณะวิชาและระดับชั้นปี (p&lt;0.01) สรุปผล นิสิตสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพในสถาบันการศึกษาเอกชน มีความฉลาดทางอารมณ์อยู่ในระดับปกติ และความฉลาดทางอารมณ์ด้านเก่งของนิสิต มีความสัมพันธ์กับการสมัครเข้าศึกษาในคณะวิชาที่ต่างกัน และนิสิตปี1 มีความฉลาดทางอารมณ์ทุกด้านสูงกว่านิสิตปี 2, 3 และ4</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/278415 การศึกษาความสามารถในการใช้กระดานดำของนักศึกษาปฏิบัติการสอนในชั้นเรียนคณิตศาสตร์ที่ใช้การศึกษาชั้นเรียนและวิธีการแบบเปิด 2025-05-15T17:32:05+07:00 ธิฎารัตน์ รุจิราวินิจฉัย edujournal@nsru.ac.th วีระศักดิ์ แก่นอ้วน weerasuk.k@ubru.ac.th <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถในการใช้กระดานดำของนักศึกษาปฏิบัติการสอน ในชั้นเรียนที่ใช้การศึกษาชั้นเรียนและวิธีการแบบเปิด ตามแนวคิด Inprasitha (2011) กลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษาสาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 20 คน โดยเลือกแบบเจาะจง การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสังเกตแบบมีส่วนร่วมด้วยการใช้แบบสังเกต การบันทึกวีดีทัศน์และภาพนิ่ง การสัมภาษณ์ และ การวิเคราะห์เอกสาร วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ อธิบายความสามารถในการใช้กระดานดำของนักศึกษา ตามแนวคิดของ Yoshida (2004) ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> การใช้กระดานดำของนักศึกษามีความสอดคล้องกับขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการแบบเปิด และแสดงพัฒนาการจากระดับที่ 2 ไปสู่ระดับที่ 4 อย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาตามลำดับวงจรของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่เริ่มต้นที่ระดับที่ 1 ในวงจรแรก คิดเป็น ร้อยละ 75 ก่อนจะพัฒนาไปสู่ระดับที่ 2 ในวงจรที่สอง คิดเป็น ร้อยละ 65 และมีการใช้กระดานดำในระดับที่ 3 และ 4 เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในวงจรที่สาม คิดเป็นร้อยละ 65 และ 20 ตามลำดับ โดยแสดงถึงการมีพัฒนาการด้านความสามารถในการใช้กระดานดำ</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/277900 การศึกษาเปรียบเทียบคำพ้องรูปภาษาจีนในข้อสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาจีน HSK ระดับ 5 2025-07-26T10:59:17+07:00 ชโลธร สังข์ทอง edujournal@nsru.ac.th ศศิธร นุริตมนต์ dongnanlin5@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการออกเสียง ความหมายและชนิดคำของคำพ้องรูปภาษาจีนในข้อสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาจีน HSK ระดับ 5 ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า คำพ้องรูปภาษาจีนที่ปรากฏในข้อสอบตัวอย่าง HSK ระดับ 5 มีทั้งหมด 310 ตัวอักษร การออกเสียงของคำพ้องรูปภาษาจีน จำแนกได้ทั้งหมด 4 รูปแบบ พบว่า การอ่านออกเสียงได้ 2 เสียง มีเยอะที่สุด คิดเป็นร้อยละ 83.87 ความหมายของคำพ้องรูปภาษาจีน จำแนกได้ทั้งหมด 2 ประเภท พบว่า คำพ้องรูปภาษาจีนที่เปลี่ยนความหมาย มีเยอะที่สุด คิดเป็นร้อยละ 92.90 และชนิดคำของคำพ้องรูปภาษาจีน จำแนกได้ทั้งหมด 2 ประเภท พบว่า คำพ้องรูปภาษาจีนที่ชนิดคำเปลี่ยน มีเยอะที่สุด คิดเป็นร้อยละ 70.65 จากการวิจัยในครั้งนี้พบว่า</p> <p> มีคำพ้องรูปภาษาจีนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในข้อสอบการวัดระดับความรู้ทางภาษาจีน HSK ระดับ 5 หากพบเจอคำพ้องรูปภาษาจีนในข้อสอบ ผู้เรียนจะสับสนได้ง่าย อาจส่งผลต่อการอ่านผิด และทำให้ประสิทธิภาพในการสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาจีนลดลงได้ ดังนั้น วิธีที่ควรเรียนรู้ จดจำและทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำพ้องรูปภาษาจีนก่อนสอบ คือ 1) คำพ้องรูปภาษาจีนมีลักษณะที่ออกเสียงไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่ความหมายก็มักจะไม่เหมือนกัน 2) ชนิดคำของคำพ้องรูปภาษาจีนบ่งบอกถึงความหมายของแต่ละตัวอักษร 3) คำพ้องรูปภาษาจีนบางตัวอักษร อาจมีความหมายที่เหมือนกัน 4) คำพ้องรูปภาษาจีนออกเสียงได้หลายเสียง ควรจดจำเฉพาะเสียงที่มักจะพบเจอได้บ่อย ๆ เพื่อลดจำนวนในการจดจำคำศัพท์ 5) ควรดูบริบทของคำพ้องรูปภาษาจีนแล้ววิเคราะห์การออกเสียงของตัวอักษร</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/278596 การศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการพัฒนาสมรรถนะด้านการวิจัยของนักศึกษาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร 2025-05-21T13:15:10+07:00 ภัทวรรณ์ ไชยภักดิ์ nunenyy.p@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหา และแนวทางการพัฒนาสมรรถนะด้านการวิจัยของนักศึกษาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ ครูพี่เลี้ยง อาจารย์นิเทศ และอาจารย์ผู้สอนวิชาการวิจัย รวมทั้งสิ้น 180 คน ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาด้านการดำเนินงานวิจัยของนักศึกษาวิชาชีพครู ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายการ พบว่า ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ทักษะการสืบค้นข้อมูลและสารสนเทศที่จำเป็นในการทำวิจัย รองลงมา คือ ความสามารถในการกำหนดปัญหา การกำหนดวัตถุประสงค์และสมมติฐานในการวิจัย การขอคำปรึกษาจากอาจารย์ที่ปรึกษาหรือครูพี่เลี้ยง การออกแบบการวิจัยและเลือกกลุ่มตัวอย่าง การกำหนดชื่อเรื่องการวิจัยให้มีองค์ประกอบครบถ้วน ความเข้าใจและการเลือกใช้นวัตกรรมที่เหมาะสม และการออกแบบวิธีการสอนและนำนวัตกรรมไปใช้ในการแก้ปัญหาในชั้นเรียน และรายการที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ การเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสมกับการวัดตัวแปร</p> <p> แนวทางการพัฒนาสมรรถนะด้านการวิจัยของนักศึกษาวิชาชีพครู ประกอบด้วย 1) พัฒนาฐานข้อมูลออนไลน์เกี่ยวกับงานวิจัยที่สามารถสืบค้นได้ 2) มีโปรแกรมการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติแบบถูกลิขสิทธิ์ 3) ส่งเสริมให้นักศึกษามีความรู้และเข้าใจในนวัตกรรม เพื่อให้นำไปใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม 4) จัดกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนางานวิจัย โดยให้นักศึกษามีส่วนร่วมให้การกำหนดประเด็นหรือหัวข้อที่ต้องการพัฒนา 5) สนับสนุนทุนหรือรางวัลสำหรับนักศึกษาที่มีผลงานวิจัยโดดเด่น และ 6) ส่งเสริมให้นักศึกษาลงมือทำวิจัยจริงก่อนออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู โดยกำหนดสถานการณ์หรือชั้นเรียนจำลอง เพื่อกำหนดปัญหาและใช้เป็นห้องเรียนวิจัยตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดกระบวนการ โดยมีอาจารย์เป็นพี่เลี้ยง</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/277998 การศึกษาผลการใช้เอกสารประกอบการเรียนสาระการเรียนรู้ศิลปะ วิชาดนตรีสากล ที่ส่งต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิยาลัยรามคำแหง (ฝ่ายประถม) 2025-07-23T14:10:30+07:00 กิติศักดิ์ เสียงดี kittisak.si@rumail.ru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาเอกสารประกอบการเรียนสาระการเรียนรู้ศิลปะ วิชาดนตรีสากล ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียนสาระการเรียนรู้ศิลปะ วิชาดนตรีสากล กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยเอกสารดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ฝ่ายประถม) จำนวน 50 คน ได้มาจากวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ 1) เอกสารประกอบการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ วิชาดนตรีสากล 2) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาดนตรีสากล 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์วิชาดนตรีสากล และ 4) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยเอกสารการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ วิชาดนตรีสากล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และการทดสอบค่าทีกรณีกลุ่มตัวอย่างเดียว ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) เอกสารประกอบการเรียนสาระการเรียนรู้ศิลปะ วิชาดนตรีสากล มีประสิทธิภาพอยู่ที่ 88.56/82.27 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ที่กำหนดไว้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีความพึงพอใจต่อการใช้เอกสาร อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/278676 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง มาตราตัวสะกดไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านท่าม่วง 2025-07-23T14:04:15+07:00 เฉลิมพร สืบสิงห์ sci.sak@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) เพื่อเปรียบเทียบผลการพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แบบทดสอบ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.89 2) แผนการจัดการเรียนรู้ และ 3) แบบสอบถามความคิดเห็น ทั้งหมดมีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า 0.67 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t – test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าประสิทธิภาพ 92.20/83.95 แบบฝึกเสริมทักษะมีค่าประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้ 2) ผลการเปรียบเทียบการพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จะเห็นได้ว่า ภายหลังการจัดการเรียนรู้มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยคะแนนเฉลี่ยภายหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ และ 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/278357 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 3 2025-07-22T16:05:42+07:00 อมรรัตน์ ขุนเสือ amornrat.k@nsru.ac.th ธีรพจน์ แนบเนียน edujournal@nsru.ac.th ไกรวิชญ์ ดีเอม edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ระดับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 317 คน จากการเปิดตารางเครจซี่, และมอร์แกน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา 0.67-1.00 และค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.99 และแบบสอบถามการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ที่มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา 0.67-1.00 และค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2) ระดับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวก อยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/278305 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับการเป็นองค์กร แห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยนาท 2025-07-23T14:21:37+07:00 เบญญาภา เพ็ญสุข benyapa.pe@nsru.ac.th นันธวัช นุนารถ edujournal@nsru.ac.th ฐิตินันท์ ด้วงสุวรรณ edujournal@nsru.ac.th <p>1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 302 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.91 และแบบสอบถามการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ มีค่าความตรงของเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/279530 THAI STUDENTS’ ATTITUDES TOWARDS CHINESE LANGUAGE TEACHERS’ MANDARIN ACCENTS: A CASE STUDY OF A PRIVATE SCHOOL IN BANGKOK 2025-09-04T12:34:47+07:00 linjiao lu lulinjiao609@gmail.com Noparat Tananuraksakul edujournal@nsru.ac.th <p>This study aimed to investigate and compare Thai primary, middle and high school students' attitudes toward their Chinese language teachers' Mandarin accents from affective, behavioral and cognitive dimensions using a mixed-methods research approach. A questionnaire, acceptably reliable with a Cronbach’s alpha of 0.78, was used as the main research instrument; structured interviews were secondarily used to supplement the quantitative results. Data were analyzed using descriptive statistics of percentage, means, and standard deviations. The overall findings collected from 317 students at a private school in Bangkok through stratified random sampling revealed that the students had very positive attitudes toward Mandarin accents of their native and Thai Chinese language teachers at the highest level; however, the primary school students were most familiar with their native and Thai Chinese language teachers’ Mandarin accents, which allowed comprehensibility, intelligibility, perceived native speaker status, and acceptability as a teacher to exist, and motivated them to pay more attention to the class than the middle and high school students. Speaking like their native Chinese language teachers' standard Mandarin accent more appealed to both primary and high school students. The primary school students were more cheerful to embrace the foreign Mandarin accent spoken by their Thai Chinese language teachers than the middle and high school students. There were two implications as follows:</p> <p> 1) accent familiarity played a vital role in shaping the students' positive attitudes, which concurrently influenced their motivation to learn Chinese. 2) younger learners could accept speaking Mandarin with a foreign accent more as long as it was intelligible, which was similar to English language learning ideology in Thailand.</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/279380 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 2025-09-04T12:49:05+07:00 ฐิติมา ประดิษฐ์วงศ์วาน ttitimaa12@gmail.com ธีรพจน์ แนบเนียน edujournal@nsru.ac.th ไกรวิชญ์ ดีเอม edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา &nbsp;&nbsp;&nbsp;2) ศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการ และ 3) หาความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารและครู กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน จำนวน 291 คน โดยเทียบสัดส่วนและทำการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.67 – 1.00 มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.94 และแบบสอบถามระดับการบริหารงานวิชาการ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.67–1.00 มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.93 สถิติใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยสูงสุดลงมา ได้แก่ คือ ด้านการกระตุ้นปัญญา ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลและด้านการสร้างแรงบันดาลใจ 2. ระดับการบริหารงานวิชาการภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยสูงสุดลงมา ได้แก่ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านการพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีทางการ และด้านการนิเทศการศึกษา 3. ค่าความสัมพันธ์ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันเท่ากับ 0.98 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าความสัมพันธ์สูงสุด คือ ด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพสถานศึกษา และ ด้านที่มีค่าความสัมพันธ์ต่ำที่สุด คือ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/279747 การพัฒนาแบบฝึกทักษะทางทฤษฎีดนตรีและโสตทักษะสำหรับเตรียมความพร้อมในการเรียนระดับอุดมศึกษา 2025-07-30T15:42:09+07:00 นิธิ จันทร์ชมเชย junchomchaey_n@silpakorn.edu กิตติธัช สำเภาทอง edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแบบฝึกทฤษฎีดนตรีและโสตทักษะก่อนเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา ที่สามารถพัฒนาทักษะพื้นฐานด้านดนตรีและโสตทักษะของผู้เรียน เพื่อต่อยอดการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นของหลักสูตรทางด้านดนตรีระดับอุดมศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 หลักสูตรดุริยางคศาสตรบัณฑิต คณะ<br>ดุริยางคศาตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จำนวน 54 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการทดสอบก่อนเรียน โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มทดลอง 27 คน และกลุ่มควบคุม 27 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบฝึกหัดทักษะทางทฤษฎีดนตรีสำหรับเตรียมความพร้อมในการศึกษาระดับอุดมศึกษา 2) แบบฝึกหัดทักษะทางโสตทักษะสำหรับเตรียมความพร้อมในการศึกษาระดับอุดมศึกษา 3) แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน วิชาทฤษฎีดนตรี และ 4) แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน วิชาโสตทักษะ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าที (t-test) แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test for Dependent Means) ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1) เนื้อหาของแบบฝึกหัดพัฒนาทักษะทางทฤษฎีดนตรีและโสตทักษะเพื่อเตรียมความพร้อมในการเรียนระดับอุดมศึกษา แบ่งออกเป็น 2 วิชา โดยทฤษฎีดนตรี ประกอบด้วย 6 เนื้อหา และโสตทักษะ ประกอบด้วย 5 เนื้อหา 2) การทดลองใช้แบบฝึกหัดด้วยการทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียนเตรียมความพร้อมผ่านกลุ่มทดลอง แบบฝึกหัดทฤษฎีดนตรี ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์หลังการเรียนด้วยแบบฝึกหัดทฤษฎีดนตรีกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สำหรับแบบฝึกหัดโสตทักษะ ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์หลังการเรียนด้วยแบบฝึกหัดโสตทักษะกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) การวิเคราะห์ผลทางสถิติ ความแตกต่างหรือเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างได้แก่ กลุ่มทดลอง ซึ่งใช้แบบฝึกหัด และกลุ่มควบคุม ซึ่งไม่ใช่แบบฝึกหัด โดยวิชาทฤษฎีดนตรี กลุ่มทดลองมีการทักษะเพิ่มสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05&nbsp; และวิชาโสตทักษะ กลุ่มทดลองมีการทักษะเพิ่มสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/280024 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้เกมคำศัพท์ประกอบการสอน ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2025-09-22T16:47:15+07:00 เมธาวี ปัญญาจันทร์สว่าง maytawee.p@rumail.ru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้เกมคำศัพท์ประกอบการสอน และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้เกมคำศัพท์ประกอบการสอน เป็นการการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 23 คน ซึ่งได้จากการวิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่สอนโดยใช้เกมคำศัพท์ประกอบการสอน จำนวน 4 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียน หลังเรียน เป็นแบบทดสอบชุดเดียวกันสลับข้อ จำนวน 1 ฉบับ จำนวน 40 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมคำศัพท์ประกอบการสอน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคำศัพท์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้เกมคำศัพท์ประกอบการสอน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนเรื่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้เกมคำศัพท์ประกอบการสอนอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.25, S.D. เท่ากับ 0.75)</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/279526 การศึกษาความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องลมฟ้าอากาศ: กรณีศึกษาในจังหวัดราชบุรี 2025-07-31T11:14:34+07:00 กาญจนา ยงดี kanchana.yongdee@g.swu.ac.th ชนินันท์ พฤกษ์ประมูล edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง ลมฟ้าอากาศ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จังหวัดราชบุรี ปีการศึกษา 2567 จำนวน 200 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยเป็นกลุ่มที่เรียนเรื่องนี้มาแล้ว และใช้การวิจัยเชิงสำรวจ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบวัดความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ เป็นแบบอัตนัยไม่จำกัดคำตอบ จำนวน 3 ข้อ ค่าความสอดคล้องของข้อคำถามมีค่าอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 ค่าเฉลี่ยความเหมาะสมอยู่ที่ 4.67 – 5.00 ในระดับมากที่สุด ค่าความยากมีค่าอยู่ระหว่าง 0.49- 0.66 ค่าอำนาจจำแนกมีค่าอยู่ระหว่าง 0.40 – 0.63 และมีค่าความเชื่อมั่นด้วยสถิติ Cronbach’s alpha เท่ากับ 0.72 โดยความเหมาะสมของเกณฑ์การให้คะแนน มีค่าอยู่ระหว่าง 4.33 – 5.00 อยู่ในระดับมากขึ้นไป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ในภาพรวมอยู่ในระดับควรปรับปรุง (M = 5.36, S.D. = 2.94)&nbsp; โดยนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดในองค์ประกอบข้อกล้าวอ้าง (M = 3.14, S.D. = 1.47) อยู่ในระดับปานกลาง รองลงมาคือ องค์ประกอบหลักฐาน (M = 1.80, S.D. = 1.31 ) อยู่ในระดับควรปรับปรุง และองค์ประกอบการให้เหตุผล (M = 0.42, S.D. = 0.81) อยู่ในระดับควรปรับปรุง ตามลำดับ เมื่อพิจารณาระดับความสามารถและคำตอบของนักเรียน พบว่า นักเรียนที่มีความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ระดับเดียวกัน มีระดับความสามารถตามองค์ประกอบที่แตกต่างกันโดยส่วนใหญ่นักเรียนยังคงมีปัญหาที่องค์ประกอบหลักฐานและการให้เหตุผลซึ่งควรได้รับการส่งเสริมให้พัฒนาขึ้นต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/279924 The การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นการป้องกันปัญหาการกลั่นแกล้ง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2025-07-30T16:06:46+07:00 กนกรัตน์ เดิมหมวก Kanokratdermmuak@gmail.com ยลดา บุญสนอง edujournal@nsru.ac.th พิชญากรณ์ วรรณสกล 6720120605@psu.ac.th ซุลฟาร์ กาเร็ง edujournal@nsru.ac.th นิษาวดี ศรีสาย edujournal@nsru.ac.th นูรมี อูแม edujournal@nsru.ac.th สุพรรษา สุวรรณชาตรี edujournal@nsru.ac.th ปาลิดา สายรัตทอง พัฒนพิชัย edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นการป้องกันปัญหาการกลั่นแกล้งสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการใช้หลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้น การป้องกันปัญหาการกลั่นแกล้งสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสุทธิศาสน์วิทยา สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน เขต 3 จังหวัดยะลา จำนวน 27 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ หลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นการป้องกันปัญหาการกลั่นแกล้งโดยมีคุณภาพของเครื่องมือ ทุกองค์ประกอบอยู่ในระดับมาก และแบบทดสอบการป้องกันปัญหาการกลั่นแกล้งมีคุณภาพเครื่องมือเท่ากับ 0.6 – 1.0 การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) หลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นการป้องกันปัญหาการกลั่นแกล้งสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วย โครงสร้างหลักสูตร กระบวนการฝึกอบรม สื่อและแหล่งการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล โดยประเมินความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ทุกองค์ประกอบของหลักสูตรมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก 2) คะแนนการทำแบบทดสอบวัดความรู้การป้องกันปัญหาการกลั่นแกล้งสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังใช้หลักสูตรฯ สูงกว่าก่อนใช้หลักสูตรฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/280197 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 2025-07-31T13:54:17+07:00 ธนภรณ์ ป้อมคำ thanabhon.p@nsru.ac.th ศุภชัย ทวี edujournal@nsru.ac.th ทีปพิพัฒน์ สันตะวัน edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร 2) ศึกษาระดับ<br />การดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำ การเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 จำนวน 291 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.92 และแบบสอบถามการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาค่าความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำ<br />การเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/280298 An Analysis of the Structural Equation Modeling Influencing the Active Three Ps-Based English Language Teaching 2025-09-18T14:59:11+07:00 Kamontus Chawna edujournal@nsru.ac.th Boonchom Sudjit boonchom_su@rmutto.ac.th Ingkayut Poolsub edujournal@nsru.ac.th <p>The objectives of this study were 1) to find out the factors that influence the use of the Active 3Ps teaching method in teaching English and 2) to analyze the structural equation model of English subjects with the Active 3Ps teaching model using the Structural Equation Modeling technique. The study was conducted with a specific sample of 300 people, and the data were collected and recorded in SPSS. Then, the data were analysis using Structural Equation Modeling (SEM) with the AMOS program to identify the relationship between factors influencing the use of the Active 3Ps-based English language teaching methodology, including measures of student engagement, English speaking skills, and learning satisfaction. The results showed that:</p> <p> 1) there were 2 latent variables and 12 observable variables, with an average of 4.05 and a standard deviation of 0.84, which was a high level, and 2) the results of the structural equation model analysis are consistent with the empirical data with statistical significance with a p-value of .07, the Goodness of Fit Index (GFI) was .992, the Comparative Fit Index (CFI) was .998, which was more than the specified threshold, indicating that the model was well consistent, and the Root Mean Square Error of Approximation (RMSEA) was .05, indicating that the model was very well consistent.</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/280528 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุทัยธานี ชัยนาท 2025-07-21T11:34:51+07:00 ศุภวัฒน์ แย้มฉวาก supawat.y@nsru.ac.th ฐิตินันท์ ด้วงสุวรรณ edujournal@nsru.ac.th นันทวัช นุนารถ edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับการบริหารสถานศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ โดยเปิดตารางเครจซี่, และมอแกน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 302 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.92 และแบบสอบถามการบริหารสถานศึกษา มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.94 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ระดับภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2) ระดับการบริหารสถานศึกษา โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/280589 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการโรงเรียนเอกชน ในจังหวัดนครสวรรค์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 2025-09-04T14:32:56+07:00 มาริสา พัดทองจิตรวี marisa.pad@nsru.ac.th สาธร ทรัพย์รวงทอง satorn.s@nsru.ac.th สุพัฒนา หอมบุปผา edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับการบริหารสถานศึกษาโรงเรียนเอกชน และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลกับการบริหารงานวิชาการโรงเรียนเอกชน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา, หัวหน้างานวิชาการ และครู จำนวน 313 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.94 และแบบสอบถามการบริหารงานวิชาการโรงเรียนเอกชน มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ระดับภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2) ระดับการบริหารงานวิชาการโรงเรียนเอกชน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการโรงเรียนเอกชน โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/280919 ภาวะผู้นำของครูในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 2025-09-16T13:55:49+07:00 กมลทิพย์ จำปา kamonthip023@gmail.com อภิชาติ เลนะนันท์ edujournal@nsru.ac.th กนกรัตน์ จิรสัจจานุกูล edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำของครูในยุคดิจิทัล 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ และ 3) ศึกษาภาวะผู้นำของครูในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 จำนวน 362 คน ได้มาจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่ายในแต่ละโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าร้อยละ ความถี่ ค่าสถิติ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ระดับภาวะผู้นำของครูในยุคดิจิทัลอยู่ในระดับมาก โดยค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการเป็นแบบอย่างที่ดีในการจัดการเรียนรู้ ด้านการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง และด้านการมีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงเรียน 2) ระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการอยู่ในระดับมาก โดยค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา ด้านการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และด้านหลักสูตรและการบริหารหลักสูตร 3) ภาวะผู้นำของครูในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการเกิดจากปัจจัยด้านการพัฒนาตนเองและทีมงาน ด้านการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง และด้านความรู้ดิจิทัล</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/280918 การสอนฟังอย่างมีวิจารณญาณในระดับอุดมศึกษาไทย: สภาพปัจจุบันและแนวทางการสอน 2025-09-18T14:54:10+07:00 สุชาดา ตั้งศิรินทร์ suchaadaa@gmail.com พิณพนธ์ คงวิจิตต์ edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์สภาพปัจจุบันในการสอนฟังอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษาระดับปริญญาตรี 2) วิเคราะห์แนวทางการจัดการเรียนรู้การฟังอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษาระดับปริญญาตรี เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ อาจารย์ผู้สอนด้านการฟังอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 5 คน และ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามวิธีการของเครจซี่และมอร์แกน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย ด้วยการจับสลากกลุ่มเรียน จำนวน 5 กลุ่มเรียน รวมนักศึกษาทั้งสิ้น จำนวน 150 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา และผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) สภาพปัจจุบันในการสอนฟังอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษาปริญญาตรี สามารถสรุปผลการวิเคราะห์ได้ 2 ประเด็นใหญ่ คือ ประเด็นที่ 1 สภาพปัจจุบันในการสอนฟังอย่างมีวิจารณญาณ ได้แก่ ข้อ 1 ผู้สอนจัดการเรียนรู้ที่เน้นส่งเสริมปัจจัยภายในผู้เรียน ข้อ 2 ผู้สอนจัดการเรียนรู้ที่เน้นพัฒนาปัจจัยภายนอกตัวผู้เรียน ประเด็นที่ 2 ปัญหาการสอนฟังอย่างมีวิจารณญาณ ได้แก่ ข้อ 1 ปัญหาจากปัจจัยด้านผู้สอน และข้อ 2 ปัญหาจากปัจจัยด้านผู้เรียน 2) แนวทางการสอนการฟังอย่างมีวิจารณญาณ สามารถสรุปผลได้ 4 แนวทาง ได้แก่ ข้อ 1 จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมสมาธิและความจดจ่อในขณะฝึกฝนการฟังอย่างมีวิจารณญาณ ข้อ 2 ออกแบบการจัดกิจกรรมการสอนฟังอย่างมีวิจารณญาณให้เป็นระบบด้วยการกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติที่เป็นลำดับขั้นอย่างชัดเจน ข้อ 3 พัฒนาองค์ประกอบพื้นฐานในการสอนที่ช่วยส่งเสริมความจดจ่อในการฟัง และข้อ 4 ออกแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับคำแนะนำป้อนกลับในระหว่างฝึกฟังอย่างมีวิจารณญาณ</p> <p> </p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/280941 ความเป็นองค์กรดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 2025-09-17T13:04:46+07:00 nuttavut thaworn nuttavutt26@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ&nbsp;1)&nbsp;ศึกษาระดับของความเป็นองค์กรดิจิทัลของสถานศึกษา&nbsp;<br>2) ศึกษาระดับของประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษา และ&nbsp;3)&nbsp;วิเคราะห์ความเป็นองค์กรดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิผล<br>การบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี&nbsp;เขต&nbsp;2&nbsp;เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ&nbsp;กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 จำนวน 316 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของทาโร&nbsp;ยามาเน่&nbsp;ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน&nbsp;เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ&nbsp;สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน&nbsp;ผลการวิจัย&nbsp;พบว่า</p> <p>1)ความเป็นองค์กรดิจิทัล มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ มาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ <br>ด้านสมรรถนะของบุคลากรด้านวัฒนธรรมองค์กร ด้านเทคโนโลยี และด้านโครงสร้างและกระบวนการทำงาน&nbsp;<br>2)&nbsp;ประสิทธิผลของการบริหารสถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ มาก&nbsp;เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ <br>ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้านการแก้ไขปัญหาภายในโรงเรียน ด้านการปรับเปลี่ยนและพัฒนาโรงเรียน และ<br>ด้านเจตคติเชิงบวก และ 3)&nbsp;ความเป็นองค์กรดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษา คือ&nbsp;ด้านวัฒนธรรมองค์กร&nbsp;ด้านเทคโนโลยี&nbsp;ด้านสมรรถนะของบุคลากร&nbsp;และด้านโครงสร้างและกระบวนการทำงาน</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/280995 การศึกษาองค์ประกอบการเป็นองค์กรนวัตกรรมของโรงเรียน 2025-09-04T14:48:44+07:00 สุภาภรณ์ ศรีสร้อย supapornsrisoi2536@gmail.com เอกลักษณ์ เพียสา edujournal@nsru.ac.th ธราเทพ เตมีรักษ์ edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบการเป็นองค์กรนวัตกรรมของโรงเรียน เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยแบ่งการวิจัยออกเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การสังเคราะห์องค์ประกอบของการเป็นองค์กรนวัตกรรมของโรงเรียน จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำนวน 10 แหล่ง เพื่อสังเคราะห์องค์ประกอบการเป็นองค์กรนวัตกรรมของโรงเรียน ขั้นตอนที่ 2 การประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบการเป็นองค์กรนวัตกรรมของโรงเรียน โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ได้แก่ อาจารย์ระดับอุดมศึกษา ผู้บริหารโรงเรียน และครู เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสังเคราะห์เอกสาร และแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา การหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) องค์ประกอบการเป็นองค์กรนวัตกรรมของโรงเรียน ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ 17 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ 1) โครงสร้างองค์กร 4 ตัวบ่งชี้ 2) บรรยากาศองค์กร 5 ตัวบ่งชี้ 3) การมีวิสัยทัศน์ร่วม 3 ตัวบ่งชี้ และ 4) การสื่อสาร 5 ตัวบ่งชี้ 2) การประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบ จากการประเมินของผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า องค์ประกอบการเป็นองค์กรนวัตกรรมของโรงเรียน มีความเหมาะสมในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-10-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/280996 การศึกษาองค์ประกอบการสื่อสารของผู้บริหารโรงเรียน 2025-09-02T11:56:18+07:00 วิไลพร นาสมใจ wilaipon.na67@snru.ac.th เอกลักษณ์ เพียสา edujournal@nsru.ac.th วัลนิกา ฉลากบาง edujournal@nsru.ac.th <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาองค์ประกอบการสื่อสารของผู้บริหารโรงเรียน เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยแบ่งการวิจัยออกเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การสังเคราะห์องค์ประกอบของการสื่อสารของผู้บริหารโรงเรียนโดยศึกษาจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารของผู้บริหารโรงเรียน 9 แหล่ง โดยเลือกองค์ประกอบที่มีความถี่ร้อยละ 40 ขึ้นไป ขั้นตอนที่ 2 การประเมินความเหมาะสมองค์ประกอบการสื่อสารของผู้บริหารโรงเรียน โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ในปีพุทธศักราช 2568 ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสังเคราะห์เอกสารและแบบประเมินความเหมาะสมชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) องค์ประกอบการสื่อสารของผู้บริหารโรงเรียน ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ 19 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ <br />1) เนื้อหาสาระ มี 4 ตัวบ่งชี้ 2) ช่องทางการสื่อสาร มี 3 ตัวบ่งชี้ 3) ความชัดเจนในการสื่อสาร มี 4 ตัวบ่งชี้ 4) ความน่าเชื่อถือ มี 4 ตัวบ่งชี้ และ 5) สภาพแวดล้อมในการสื่อสาร มี 4 ตัวบ่งชี้ 2) ผลการประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบ จากการประเมินของผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า องค์ประกอบการสื่อสารของผู้บริหารโรงเรียน มีความเหมาะสมในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า องค์ประกอบที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ ช่องทางการสื่อสาร องค์ประกอบที่มีค่าเฉลี่ย น้อยที่สุด ได้แก่ เนื้อหาสาระ และ ความน่าเชื่อถือ ตามลำดับ</p> <p> </p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/281023 การจัดประสบการณ์เรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษาสำหรับนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในจังหวัดลำปาง 2025-08-18T14:01:35+07:00 ดวงจันทร์ แก้วกงพาน duangjan.kkp@hotmail.com วีรนุช คฤหานนท์ edujournal@nsru.ac.th ชิสาพัชร์ ชูทอง edujournal@nsru.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาทักษะในศตวรรษที่ 21 ที่ได้รับการจัดประสบการณ์เรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษาสำหรับนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดลำปาง 2) ศึกษาเจตคติของผู้เรียนที่ได้รับการจัดประสบการณ์เรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบการทดลองขั้นพื้นฐาน แบบ One-Group Post-Test Only Design กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดลำปางที่สมัครใจเข้าร่วมกิจกรรม จำนวนประมาณ 25-30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ 1) แผนการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาสำหรับนักเรียนที่กำลังศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดลำปาง 2) แบบประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 ทักษะย่อยคือ 1) ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและแก้ปัญหา 2) ทักษะการสื่อสารและความร่วมมือ และ 3) ทักษะการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม และ 3) แบบประเมินเจตคติของผู้เรียนเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์เรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ผลการศึกษาทักษะในศตวรรษที่ 21 การจัดประสบการณ์เรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษาสำหรับนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดลำปาง ภาพรวมพบว่า ค่าเฉลี่ยมีค่าเท่ากับ 4.45 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมีค่าเท่ากับ 0.53 อยู่ในระดับมาก 2) ผลเจตคติของผู้เรียนที่ได้รับการจัดประสบการณ์เรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษาภาครวมค่าเฉลี่ย มีค่าเท่ากับ 4.37 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.83 อยู่ในระดับมาก</p> 2025-10-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/281044 ทักษะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษายุคใหม่ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพ การบริหารจัดการสถานศึกษากรณีศึกษา: สำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดลำปาง 2025-09-08T09:51:40+07:00 ทวิทย์ บัวทอง Thawit2517@lampangvc.ac.th จุรีย์ สร้อยเพชร edujournal@nsru.ac.th <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษายุคใหม่และประสิทธิภาพการบริหารจัดการสถานศึกษา สำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดลำปาง 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของทักษะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษายุคใหม่ที่มีต่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการของสถานศึกษา สำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดลำปาง กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีการแบ่งตามเขตพื้นที่ และเก็บข้อมูลด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง คือผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดลำปาง รวมจำนวน 202 คน โดยใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์และสัมประสิทธิ์ถดถอยแบบพหุคูณในการทดสอบสมมติฐานการวิจัย จากการศึกษาพบว่า</p> <p> 1) ทักษะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษายุคใหม่ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และประสิทธิภาพการบริหารจัดการสถานศึกษาภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของทักษะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษายุคใหม่และประสิทธิภาพการบริหารจัดการของสถานศึกษามีความสัมพันธ์ภาพรวมในระดับปานกลาง และมีความสัมพันธ์กันในทิศทางบวกทั้งหมด ระดับนัยสำคัญ .01 และ 3) สัมประสิทธิ์ถดถอยแบบพหุคูณพบว่าทักษะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษายุคใหม่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการสถานศึกษา โดยเรียงลำดับทักษะสัมประสิทธิ์เชิงบวกดังนี้ 1) การเป็นผู้ประกอบการและการสื่อสาร 2) ด้านความคิดเฉพาะทาง 3) ความรับผิดชอบและอุปนิสัย 4) การคาดการณ์และการปรับตัว 5) ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม 6) การใช้ดิจิทัลและวิจัยเป็นฐาน ในขณะที่ 7) การจัดการสุขภาพจิตและจัดการตนเองกลับมีค่าสัมประสิทธิ์เชิงลบ ระดับนัยสำคัญ .05 และ .01 โดยสามารถสร้างสมการประมาณค่าได้ดังนี้</p> <p> ประสิทธิภาพการบริหารสถานศึกษา = 0.730 +0.422<sub>ECS</sub>+0.234<sub>STS </sub>+0.197<sub>RPS</sub>+0.125<sub>AAS</sub>+0.044<sub> CIS</sub>+0.026<sub> DRS</sub>-1.159 <sub>MSS</sub> + 0.272</p> 2025-10-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/281226 การนำแนวทางปฏิบัติการต้านบูลลี่ (KiVa) ประเทศฟินแลนด์มาใช้ในสถานศึกษา: กรณีศึกษาเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 2025-09-15T14:21:03+07:00 สายชล บุตรเสน่ห์ Saichon.butsanae@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางปฏิบัติการต้านบูลลี่ (KiVa) ประเทศฟินแลนด์มาใช้ในสถานศึกษา: กรณีศึกษาเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 2) เพื่อเปรียบเทียบการถูกกลั่นแกล้งรังแกของเด็ก ที่มีความต้องการพิเศษ ก่อนและหลังการใช้แนวทางปฏิบัติการต้านบูลลี่ (KiVa) วิธีการดำเนินงานวิจัยเป็น การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนหัวดงราชพรหมาภรณ์ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการทดลอง คือ แนวทางปฏิบัติการต้านบูลลี่ (KiVa) และแบบสอบถาม นักเรียนถึงประสบการณ์เกี่ยวกับการกลั่นแกล้ง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย แจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ได้แนวทางปฏิบัติการต้านบูลลี่ (KiVa) ประเทศฟินแลนด์มาใช้ในสถานศึกษา: กรณีศึกษาเด็กที่มีความต้องการ พิเศษ 2) การถูกกลั่นแกล้งรังแกของเด็กที่มีความต้องการพิเศษหลังการใช้ แนวทางปฏิบัติการต้านบูลลี่ (KiVa) ลดลง</p> 2025-10-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/281315 การพัฒนาบอร์ดเกมทางพระพุทธศาสนาในการเพิ่มความจำขณะคิดของผู้สูงอายุ 2025-09-04T13:05:05+07:00 พระมหาศิธร ทองโยง sithorn.tho@student.mbu.ac.th ดำรง เบญจคีรี edujournal@nsru.ac.th พรทิวา ชนะโยธา edujournal@nsru.ac.th พันธุ์ธัช ศรีทิพันธุ์ edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยเชิงทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบอร์ดเกมทางพระพุทธศาสนาในการเพิ่มความจำขณะคิดของผู้สูงอายุ 2) เพื่อศึกษาผลของการใช้บอร์ดเกมทางพระพุทธศาสนาในการเพิ่มความจำขณะคิดของผู้สูงอายุ ประเด็นเปรียบเทียบคะแนนความถูกต้องก่อนและหลังใช้ของกลุ่มตัวอย่าง และเปรียบเทียบระยะเวลาการตอบสนองก่อนและหลัง<br />ใช้บอร์ดเกมของกลุ่มตัวอย่าง โดยกลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุยานนาวาจำนวน 50 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 25 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ บอร์ดเกมทางพระพุทธศาสนาเพิ่มความจำในผู้สูงอายุ, แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบวัดความจำขณะคิด (N Back Task) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมทั้งสถิติ t-test ผลการวิจัยพบว่า:</p> <p> 1) บอร์ดเกมทางพระพุทธศาสนาในการเพิ่มความจำขณะคิดของผู้สูงอายุมี 2 บอร์ดเกม คือ ผู้พิชิตสังเวชนียสถาน 4 เกมบันไดงู และหลักธรรมที่น่ารู้ เกมบัตรคำบิงโก ผลประเมินมีความเหมาะสมในทุกด้าน 2) ผลของการใช้บอร์ดเกมทางพระพุทธศาสนาในการเพิ่มความจำขณะคิดของผู้สูงอายุ 1) กลุ่มทดลองมีคะแนนความถูกต้องในการทดสอบหลังการใช้บอร์ดเกมสูงกว่าก่อนใช้บอร์ดเกมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) กลุ่มทดลองใช้ระยะเวลาในการตอบสนองหลังการใช้บอร์เกมลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) กลุ่มทดลองมีคะแนนความถูกต้องหลังการใช้บอร์ดเกมสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) ระยะเวลาการตอบสนองเฉลี่ยของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน</p> 2025-10-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/281057 The การใช้บอร์ดเกมนักทฤษฎีปฐมวัยเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย 2025-09-18T14:50:15+07:00 รวินันท์ สัจจาศิลป์ rawinun.nsru@gmail.com อนงค์นารถ ยิ้มช้าง edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้บอร์ดเกมนักทฤษฎีปฐมวัยเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ชั้นปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 60 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจงเครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์ สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) นักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์มีทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.96 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.64 2) ผลการใช้บอร์ดเกมนักทฤษฎีปฐมวัยเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ก่อนและหลังการใช้บอร์ดเกมนักทฤษฎีปฐมวัยเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยคะแนนเฉลี่ยหลังการใช้บอร์ดเกมนักทฤษฎีปฐมวัยสูงกว่าก่อนการใช้บอร์ดเกมนักทฤษฎีปฐมวัย</p> 2025-10-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/281562 การพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานร่วมกับวรรณกรรมท้องถิ่นเมืองอุตรดิตถ์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2025-09-08T10:45:12+07:00 ธาวิน สุธรรมรักขติ 24thawin.inchome@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานร่วมกับวรรณกรรมท้องถิ่นเมืองอุตรดิตถ์ 2) เปรียบเทียบความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญ ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานร่วมกับวรรณกรรมท้องถิ่นเมืองอุตรดิตถ์กับเกณฑ์ร้อยละ 75 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานร่วมกับวรรณกรรมท้องถิ่นเมืองอุตรดิตถ์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ จำนวน 46 คน ซึ่งได้มาโดยจากการสุ่มอย่างง่าย ด้วยการจับสลากโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ ผลวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานร่วมกับวรรณกรรมท้องถิ่นเมืองอุตรดิตถ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถการอ่านจับใจความสำคัญด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานร่วมกับวรรณกรรมท้องถิ่นเมืองอุตรดิตถ์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานร่วมกับวรรณกรรมท้องถิ่นเมืองอุตรดิตถ์ ภาพรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด</p> 2025-10-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ https://so02.tci-thaijo.org/index.php/edunsrujo/article/view/281544 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารกับการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 3 2025-09-08T10:57:01+07:00 สุวิจักขณ์ อินทร์ประสิทธิ์ Suwijak.i@nsru.ac.th ไกรวิชญ์ ดีเอม edujournal@nsru.ac.th ธีรพจน์ แนบเนียน edujournal@nsru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหาร 2) ระดับการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารกับการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 333 คน โดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหาร ซึ่งมีค่าความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.67–1.00 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.99 และแบบสอบถามการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา ซึ่งมีค่าความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.67–1.00 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ระดับภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหาร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยสูงสุดลงมา ได้แก่ ด้านการท้าทายการเปลี่ยนแปลง อยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ ด้านการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ อยู่ในระดับมากและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการสื่อสาร อยู่ในระดับมาก 2) การบริหารงานบุคคล โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยสูงสุดลงมา ได้แก่ ด้านการวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง อยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ ด้านการออกจากราชการ อยู่ในระดับมาก และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการสรรหาและการบรรจุแต่งตั้ง อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารกับการบริหารงานบุคคล มีความสัมพันธ์ทางบวก อยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 </p> 2025-10-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์