การพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์โดยใช้วิธีการสอนแบบกรณีตัวอย่าง ร่วมกับเทคนิคทีเอไอของนักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ
คำสำคัญ:
ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์, วิธีการสอนแบบกรณีตัวอย่าง, เทคนิคทีเอไอบทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์โดยใช้วิธีการสอนแบบกรณีตัวอย่างร่วมกับเทคนิคทีเอไอและวิธีสอนแบบปกติหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบกรณีตัวอย่างร่วมกับเทคนิคทีเอไอและวิธีสอนแบบปกติก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ ตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ได้โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 30 คน จับฉลากเป็นกลุ่มทดลอง 1 กลุ่ม และกลุ่มควบคุม 1 กลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูล คือ แบบประเมินทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์ มีค่า IOC เท่ากับ 1 และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ มีค่าความยากง่ายของข้อสอบอยู่ระหว่าง 0.20-0.72 และ 2.เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการสอนแบบกรณีตัวอย่างร่วมกับเทคนิคทีเอไอ และ แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการสอนแบบปกติ มีค่าความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ 4.18 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.52 ระยะเวลาในการวิจัยทั้งหมด 20 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็นสัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง จำนวน 5 สัปดาห์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที
ผลการวิจัยพบว่า
1. คะแนนทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์หลังเรียนของนักเรียนกลุ่มที่ใช้วิธีการสอนแบบกรณีตัวอย่างร่วมกับเทคนิคทีเอไอ สูงกว่ากลุ่มที่ใช้วิธีการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และคะแนนทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์โดยใช้วิธีการสอนแบบกรณีตัวอย่างร่วมกับเทคนิคทีเอไอหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2. คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มที่ใช้วิธีการสอนแบบกรณีตัวอย่างร่วมกับเทคนิคทีเอไอ สูงกว่ากลุ่มที่ใช้วิธีการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบกรณีตัวอย่างร่วมกับเทคนิคทีเอไอหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
เอกสารอ้างอิง
ทิศนา แขมมณี. ศาสตร์การสอน. พิมพ์ครั้งที่ 24. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2563.
ภัทรลดา ประมาณพล. การพัฒนาชุดกิจกรรมเรื่องจำนวนนับและการบวก การลบ การคูณ การหารสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เทคนิค TAI. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี, 2560.
มนัสวี ดวงลอย. ปัจจัยที่มีผลต่อการอ่านภาษาอังกฤษของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ, 2558.
รพีพรรณ สุฐาปัณณกุล. การพัฒนารูปแบบการสอนภาษาอังกฤษเทคนิคโดยวิธีการสอนที่เน้นภาระงานและโครงงานเพื่อพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจและความคิดสสร้างสรรค์ของนักศึกษาปริญญาตรี. วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2557.
เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, สำนักงาน. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์รัฐสภา, 2560.
วัชรา เล่าเรียนดี ปรณัฐ กิจรุ่งเรือง และอรพิณ ศิริสัมพันธ์. กลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อพัฒนาการคิดและ ยกระดับคุณภาพการศึกษาสำหรับศตวรรษที่ 21. นครปฐม: เพชรเกษม ปริ้นติ้ง, 2560.
วันเพ็ญ สุลง. การเรียนรู้โดยใช้กรณีศึกษาเพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์วิชาการบริหารงานคุณภาพในองค์การระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงชั้นปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, 2561.
อุไรรัตน์ สวัสดิ์, เสน่ห์ สวัสดิ์ และวจี พวงมณี. ศึกษาปัญหาการสื่อสารภาษาอังกฤษกับอาจารย์ชาวต่างประเทศของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสากลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาน่าน. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา, 2559.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความทุกเรื่องได้รับการตรวจความถูกต้องทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกอย่างน้อย 2 คน ความคิดเห็นในวารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนมิใช่ความคิดเห็นของผู้จัดทำ จึงมิใช่ ความรับผิดชอบของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี และบทความในวารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี สงวนสิทธิ์ตามกฎหมายไทย การจะนำไปเผยแพร่ต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากกองบรรณาธิการ