https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/issue/feed
วารสารพิชญทรรศน์
2025-08-31T21:51:18+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.หทัยรัตน์ ไชยสัตย์ บรรณาธิการวารสารพิชญทรรศน์
hathairat.k@ubru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารพิชญทรรศน์ </p> <p> วารสารพิชญทรรศน์เป็นวารสารฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่พิมพ์เผยแพร่บทความวิจัย และ/หรือ บทความวิชาการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์บทความดังกล่าวในด้านบริหารธุรกิจ, การจัดการ และการบัญชี ด้านระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ด้านการศึกษา ด้านการบริหารรัฐกิจหรือรัฐประศาสนศาสตร์ และสาขาวิชาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านวิชาการระหว่างนักวิจัย คณาจารย์ นักวิชาการและนักศึกษาที่มีคุณภาพ เพื่อประโยชน์ต่อวงการวิชาการและสังคม ตลอดจนการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยมีกำหนดออกราย 4 เดือน</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่ ปีละ 3 </strong><strong>ฉบับ</strong></p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน</li> <li>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม</li> <li>ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม</li> </ul>
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/271447
การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้เทคนิค SQ4R ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2024-07-04T11:13:15+07:00
วิภาวดี แก้วมณี
vipavadee.kg62@ubru.ac.th
สรรพสิริ ส่งสุขรุจิโรจน์
Vipavadee.kG62@ubru.ac.th
สาวิตรี เถาว์โท
Vipavadee.kG62@ubru.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้เทคนิค SQ4R ก่อนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิค SQ4R ตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านคุ้ม จำนวน 15 คน และโรงเรียนบ้านโคกสว่าง จำนวน </span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">30 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 รวมทั้งหมด 45 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้เทคนิค SQ4R ซึ่งมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 2) แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้เทคนิค SQ4R และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้เทคนิค SQ4R ซึ่งมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า</span></p> <ol> <li><span style="font-weight: 400;"> ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้เทคนิค SQ4R ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่า</span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">ก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิค SQ4R อยู่ในระดับมาก</span></li> </ol>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/271424
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษากับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2
2024-07-04T15:08:33+07:00
กิติพันธ์ สุรวิทย์
kitiphan881@gmail.com
สมาน อัศวภูมิ
kitiphan881@gmail.com
พงษ์ศักดิ์ ทองพันชั่ง
kitiphan881@gmail.com
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษากับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 ตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 310 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิและเทียบสัดส่วนตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามมีค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน ได้ข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ .60 ขึ้นไป และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า </span></p> <ol> <li><span style="font-weight: 400;"> ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 โดยรวมมีคุณลักษณะอยู่ในระดับมากที่สุด (</span><span style="font-weight: 400;">= 4.52, S = .59) </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 โดยรวมมีความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน อยู่ในระดับมากที่สุด (</span><span style="font-weight: 400;">= 4.72, S = .40) </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษากับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 พบว่า โดยรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01</span></li> </ol>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/271457
สภาพการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุบลราชธานี เขต 2
2024-07-06T13:19:26+07:00
จิระนันท์ สาระไทย
jiranan.sg65@ubru.ac.th
วรรณภา โคตรพันธ์
jiranan.sg65@ubru.ac.th
ชวนคิด มะเสนะ
jiranan.sg65@ubru.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยยุคดิจิทัล ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุบลราชธานี เขต 2 2) เปรียบเทียบสภาพการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนระดับปฐมวัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุบลราชธานี เขต 2 จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ทำงาน และขนาดของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุบลราชธานี เขต 2 ตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 76 คน ครูผู้สอนระดับปฐมวัย จำนวน 150 คน รวมทั้งหมด 226 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .96 และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนระดับปฐมวัย จำนวน 6 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการทดสอบเอฟ และการวิเคราะห์เนื้อหา</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า</span></p> <ol> <li><span style="font-weight: 400;"> สภาพการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ รองลงมา คือ ด้านการวัดและประเมินพัฒนาการ และด้านสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านหลักสูตรและการบริหารหลักสูตร </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนระดับปฐมวัย ที่มีตำแหน่งต่างกัน มีความคิดเห็นต่อสภาพการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวม ไม่แตกต่างกัน ส่วนผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนระดับปฐมวัย ที่มีประสบการณ์ทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อสภาพการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนระดับปฐมวัย ที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาขนาดต่างกัน มีความคิดเห็นต่อสภาพการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 </span></li> </ol> <p><span style="font-weight: 400;">3. แนวทางการบริหารงานวิชาการระดับปฐมวัยยุคดิจิทัล พบว่า 1) ด้านหลักสูตรและการบริหารหลักสูตร ผู้บริหารสถานศึกษาควรกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการวางแผน ออกแบบ วิเคราะห์หลักสูตรและพัฒนาหลักสูตรเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย มีส่วนร่วมในการปรับปรุงหลักสูตร 2) ด้านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ผู้บริหารสถานควรส่งเสริมสนับสนุนให้ครูจัดทำแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ทันยุคสมัยและความก้าวหน้าของเทคโนโลยี</span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการจัดประสบการณ์ แบบเรียนโปรแกรมสำเร็จรูประดับปฐมวัย มีการนิเทศการสอนในชั้นเรียน 3) ด้านการวัดและประเมินพัฒนาการ ส่งเสริมให้ครูประเมินพัฒนาการโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป มีการวิเคราะห์ผลการวัดและประเมินพัฒนาการรายชั้นเรียน/รายบุคคลและจัดทำข้อมูลสารสนเทศระดับปฐมวัย 4) ด้านสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ ควรจัดงบประมาณเพื่อพัฒนาโครงสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ส่งเสริมให้ครูมีการออกแบบสื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล เลือกใช้สื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย</span></p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/272013
รูปแบบการพัฒนาครูด้านทักษะการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
2024-07-23T15:16:17+07:00
รุจิรดา ศรีสุธรรม
yayayada55@gmail.com
สุรศักดิ์ ศรีกระจ่าง
Yayayada55@gmail.com
จิตติมาภรณ์ สีหะวงษ์
Yayayada55@gmail.com
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบ ความต้องการจำเป็น และแนวทางการพัฒนาครูด้านทักษะการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2) สร้างรูปแบบการพัฒนาครูด้านทักษะการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และ 3) ประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการพัฒนาครูด้านทักษะการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ตัวอย่างของการวิจัยระยะที่ 1 คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 728 คน กลุ่มเป้าหมายของการวิจัยระยะที่ 2 คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน และ ระยะที่ 3 ได้แก่ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบสอบถามประเมินรูปแบบ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็น และข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า </span></p> <ol> <li><span style="font-weight: 400;"> ผลการศึกษาองค์ประกอบ ความต้องการจำเป็น และแนวทางการพัฒนาครูด้านทักษะการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบไปด้วย 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมทางการศึกษา ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้ ด้านการบริหารจัดการชั้นเรียนเชิงบวก และ ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ผลการสร้างรูปแบบการพัฒนาครูด้านทักษะการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการของรูปแบบ วัตถุประสงค์ของรูปแบบ วิธีดำเนินการของรูปแบบ การประเมินรูปแบบ และ เงื่อนไขความสำเร็จ โดยมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้โดยรวมอยู่ในระดับมาก </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ผลการประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการพัฒนาครูด้านทักษะการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</span></li> </ol>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/271577
ภาวะผู้นำวิถีทางเป้าหมายของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3
2024-07-23T15:57:43+07:00
นำโชค มณีเขียว
stu6530117120@sskru.ac.th
พงษ์ศักดิ์ ทองพันชั่ง
stu6530117120@sskru.ac.th
สมาน อัศวภูมิ
stu6530117120@sskru.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำวิถีทางเป้าหมายของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำวิถีทางเป้าหมายของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 และ 4) สร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำวิถีทางเป้าหมายของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 338 คน โดยใช้ตารางกำหนดขนาดตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน และใช้วิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ โดยกำหนดให้ขนาดของโรงเรียนเป็นตามสัดส่วนของชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถาม ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .99 สถิติที่ใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า </span></p> <ol> <li><span style="font-weight: 400;"> ภาวะผู้นำวิถีทางเป้าหมายของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด (</span><span style="font-weight: 400;">= 4.54, S = .31) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการสนับสนุน มีระดับภาวะผู้นำวิถีทางเป้าหมายมากที่สุด (</span><span style="font-weight: 400;">= 4.60, S = .35) รองลงมาคือ ด้านบรรลุผลสำเร็จ (</span><span style="font-weight: 400;"> = 4.58, S = .38) ด้านการมีส่วนร่วม (</span><span style="font-weight: 400;"> = 4.56, S = .38) และด้านการสั่งการ (</span><span style="font-weight: 400;">= 4.52, S = .31) ตามลำดับ</span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด (</span><span style="font-weight: 400;">= 4.55, S = .16) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา มีระดับประสิทธิผลมากที่สุด </span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">(</span><span style="font-weight: 400;">= 4.59, S = .60) รองลงมาคือ ด้านความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู (</span><span style="font-weight: 400;">= 4.57, S = .41) ด้านความสำเร็จในการบริหารงาน</span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">(</span><span style="font-weight: 400;"> = 4.54, S = .39) ด้านคุณลักษณะของผู้เรียนและด้านสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีของครู (</span><span style="font-weight: 400;">= 4.53, S = .48) และด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (</span><span style="font-weight: 400;">= 4.51, S = .31) ตามลำดับ</span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ภาวะผู้นำวิถีทางเป้าหมายของผู้บริหารสถานศึกษา ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการสั่งการ ด้านการสนับสนุน ด้านการมีส่วนร่วมและด้านบรรลุผลสำเร็จ มีความสัมพันธ์ต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> สมการณ์พยากรณ์ภาวะผู้นำวิถีทางเป้าหมายของผู้บริหารสถานศึกษาสามารถพยากรณ์ภาวะผู้นำวิถีทางเป้าหมายของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการสั่งการ (X</span><span style="font-weight: 400;">1</span><span style="font-weight: 400;">) ด้านการสนับสนุน (X</span><span style="font-weight: 400;">2</span><span style="font-weight: 400;">) ด้านการมีส่วนร่วม (X</span><span style="font-weight: 400;">3</span><span style="font-weight: 400;">) และด้านบรรลุผลสำเร็จ (X</span><span style="font-weight: 400;">4</span><span style="font-weight: 400;">) กับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 </span></li> </ol> <p><span style="font-weight: 400;">สมการพยากรณ์ คะแนนดิบ </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">y</span><span style="font-weight: 400;"> = 4.17 + 0.14 (X</span><span style="font-weight: 400;">2</span><span style="font-weight: 400;">) + 0.14 (X</span><span style="font-weight: 400;">1</span><span style="font-weight: 400;">) + 0.30 (X</span><span style="font-weight: 400;">4</span><span style="font-weight: 400;">) + 0.22 (X</span><span style="font-weight: 400;">3</span><span style="font-weight: 400;">)</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">สมการพยากรณ์ คะแนนมาตรฐาน</span></p> <p><span style="font-weight: 400;"> </span> <span style="font-weight: 400;">z</span><span style="font-weight: 400;"> = 0.05 (X</span><span style="font-weight: 400;">2</span><span style="font-weight: 400;">) + 0.13 (X</span><span style="font-weight: 400;">1</span><span style="font-weight: 400;">) + 0.11 (X</span><span style="font-weight: 400;">4</span><span style="font-weight: 400;">) + 0.04 (X</span><span style="font-weight: 400;">3</span><span style="font-weight: 400;">)</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">จากสมการที่ได้มีความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงกับตัวแปรเกณฑ์ </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">(t = 31.28 , P – value = 0.00) </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">มีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">(</span><span style="font-weight: 400;">R</span><span style="font-weight: 400;">adj</span><span style="font-weight: 400;">2</span><span style="font-weight: 400;"> = 0.06) </span></p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/272445
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร
2024-08-15T15:31:51+07:00
ปิยะพงษ์ ป้องกัน
piyapong@ssk.ac.th
พงษ์ศักดิ์ ทองพันชั่ง
piyapong@ssk.ac.th
สมาน อัศวภูมิ
piyapong@ssk.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครู 2) ระดับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาและ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร ตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร จำนวน 346 คน โดยกำหนดขนาดตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกนซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ เป็นแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า </span></p> <ol> <li><span style="font-weight: 400;"> ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธรโดยภาพรวม มีภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามการรับรู้ของครูอยู่ในระดับมาก ด้านการบริหารทีมงาน มีระดับความคิดเห็นมากที่สุด </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร โดยภาพรวมมีการทำงานเป็นทีมอยู่ในระดับมาก ด้านการยอมรับนับถือ มีระดับความคิดเห็นมากที่สุด </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันระดับสูงในทิศทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</span></li> </ol>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/272354
การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์โดยใช้สมองเป็นฐานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ศรีสะเกษ เขต 1
2024-10-28T11:44:12+07:00
หทัยชนก แถมวัน
hathaichanok.tg65@ubru.ac.th
ขจิตา สมเนตร
hathaichanok.tg65@ubru.ac.th
ธีรวุฒิ เอกะกุล
hathaichanok.tg65@ubru.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการให้เหตุผลทางเรขาคณิต รายวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 และ 3) เพื่อศึกษาระดับการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านตำแยหนองเม็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษเขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียนจำนวน 16 คน เป็นกลุ่มทดลอง และนักเรียนโรงเรียนบ้านเปือยประชาสามัคคี จำนวน 16 คน เป็นกลุ่มควบคุม ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม โดยใช้โรงเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การให้เหตุผลทางเรขาคณิตโดยสมองเป็นฐานสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 แบบสังเกตพฤติกรรมการให้เหตุผล จำนวน 3 ฉบับ แบบทดสอบระหว่างเรียนของแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 ชุด แบบทดสอบวัดระดับการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ จำนวน 3 ข้อ และ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ เรื่องการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย </span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า</span></p> <ol> <li><span style="font-weight: 400;"> การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่อง การให้เหตุผลทางเรขาคณิต รายวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.79/81.25 </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 ของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ระดับการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ส่วนใหญ่อยู่ใน ระดับ 2 คิดเป็นร้อยละ 56.25 ของจำนวนตัวอย่าง รองลงมา ได้แก่ ระดับ 3 คิดเป็นร้อยละ 18.75 ของจำนวนตัวอย่าง, ระดับ 4 และระดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 12.5 ของจำนวนตัวอย่างตามลำดับ</span></li> </ol>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/272276
แนวทางการเพิ่มประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ
2024-08-16T17:53:36+07:00
หนึ่งฤทัย ยุทธยง
nuengruthai.yg65@ubru.ac.th
ธิดารัตน์ จันทะหิน
nuengruthai.yg65@ubru.ac.th
ชวนคิด มะเสนะ
nuengruthai.yg65@ubru.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก 2) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก จำแนกตำแหน่ง วุฒิการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน และ 3) ศึกษาแนวทางการเพิ่มประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ ตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 45 คน ครู 240 คน รวมทั้งหมด 285 คน กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย ได้มาโดยตารางสำเร็จรูปของ Krejcic and Morgan เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น ทั้งฉบับเท่ากับ .94 และ 2) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 1.00 </span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การทดสอบเอฟ และการวิเคราะห์เนื้อหา</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า </span></p> <ol> <li><span style="font-weight: 400;"> ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก โดยรวมและรายด้าน มีระดับประสิทธิผลการบริหารวิชาการอยู่ในระดับมาก </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> เปรียบเทียบประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ ของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก จำแนกตามตำแหน่ง วุฒิการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวมพบว่า แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 </span></li> <li>แนวทางการเพิ่มประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก 1) ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความรู้ เข้าใจ กำหนดร่วมกัน นำสื่อนวัตกรรมมาใช้และจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเชิงรุก เชื่อมโยงความรู้ของผู้เรียน 2) ด้านการพัฒนาสื่อแหล่งเรียนรู้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ผู้บริหารสถานศึกษาสนับสนุนส่งเสริมให้ครูผู้สอนได้ผลิตและพัฒนาสื่อเทคโนโลยีทางการศึกษา นำสื่อที่ผลิตมาใช้ทั้งในและนอกห้องเรียน ปรับปรุงและพัฒนาสื่อให้มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง 3) ด้านการวัดและประเมินผลของสถานศึกษา ครูผู้สอนสร้างเครื่องมือการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล เช่น การสังเกต การสอบถาม เป็นต้น เพื่อพัฒนาและยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) ด้านการนิเทศ สถานศึกษาควรให้ครูผู้สอนรับการนิเทศ เพื่อพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้อย่างถูกต้อง กำหนดชัดเจนหรือยืดหยุ่นตามบริบทความหลากหลายของชั้นเรียนได้ ช่วยเหลือแบบกัลยาณมิตร สะท้อนผลการนิเทศร่วมกัน เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้และเพิ่มประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษา</li> </ol>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/270730
การพัฒนาทักษะการอ่านตัวโน้ต โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านตัวโน้ตตามแนวคิดของ โซลตาน โคดาย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2024-08-17T16:30:40+07:00
ชิดชนก ประธาน
chidchanok.prathan1993@gmail.com
วิทยา วรพันธุ์
chidchanok.prathan1993@gmail.com
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาชุดดฝึกทักษะการอ่านตัวโน้ต ตามแนวคิดของ โซลตาน โคดาย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลการเรียนรู้ โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านตัวโน้ตตามแนวคิดของโซลตาน โคดาย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เปรียบเทียบทักษะการอ่านตัวโน้ต ของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกทักษะการอ่านตัวโน้ต ตามแนวคิดของโซลตาน โคดาย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยชุดฝึกทักษะการอ่านตัวโน้ต ตามแนวคิดของโซลตาน </span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">โคดาย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพังงูวิทยา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี 5 จำนวน 33 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ </span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ชุดฝึกทักษะตามแนวคิดของโซตาน โคดาย จำนวนรูปแบบละ 5 แผน 2)ชุดฝึกทักษะการอ่าน</span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">ตัวโน้ต ตามแนวคิดของโซตาน โคดาย จำนวน 5 ชุด 3) แบบทดสอบทักษะการอ่านตัวโน้ต โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านตัวโน้ต ตามแนวคิดของโซลตาน โคดาย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบทดสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 4) แบบประเมินทักษะการอ่านตัวโน้ต เป็นแบบสังเกตที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 5) แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านตัวโน้ต ตามแนวคิดของโซลตาน โคดาย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า </span></p> <ol> <li><span style="font-weight: 400;"> การพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านตัวโน้ตตามแนวคิดของโซลตาน โคดาย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ (E</span><span style="font-weight: 400;">1</span><span style="font-weight: 400;">/E</span><span style="font-weight: 400;">2</span><span style="font-weight: 400;">) เท่ากับ 81.39/86.76 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ตั้งไว้ 80/80 </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> ค่าดัชนีประสิทธิผลทักษะการอ่านตัวโน้ต ของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ร่วมกับชุดฝึกทักษะการอ่านตัวโน้ต ตามแนวคิดของโซลตาน โคดาย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 คิดเป็นร้อยละ 71.08 </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> นักเรียนที่เรียน โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านตัวโน้ตตามแนวคิดของโซลตาน โคดาย มีทักษะการอ่านตัวโน้ต สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80</span></li> <li>นักเรียนมีความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ทักษะการอ่านตัวโน้ต โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านตัวโน้ตตามแนวคิดของโซลตาน โคดาย โดยมีค่าเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( <span style="font-weight: 400;">x</span><span style="font-weight: 400;">= 4.63, S.D.=0.63)</span></li> </ol>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/272390
คุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้รับบริการของสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขาในเขต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2
2024-08-28T11:27:18+07:00
จารุนันท์ การินทร์
jarunan.kg64@ubru.ac.th
ประนอม คำผา
jarunan.kg64@ubru.ac.th
อัยรดา พรเจริญ
jarunan.kg64@ubru.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณภาพการให้บริการและระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการของสำนักงานสรรพสามิต 2) ศึกษาคุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้รับบริการของสำนักงานสรรพสามิต 3) เปรียบเทียบคุณภาพการให้บริการตามการรับรู้ของผู้รับบริการของสำนักงานสรรพสามิต จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 4) เปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้รับบริการของสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขาในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลเครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม โดยกำหนดขนาดตัวอย่างแบบทราบจำนวนประชากร โดยใช้สูตรของ Yamane ได้จำนวนผู้รับบริการ ทั้งสิ้น 400 คน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การทดสอบเอฟ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณด้วยเทคนิควิธี Stepwise</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า </span></p> <ol> <li><span style="font-weight: 400;"> คุณภาพการให้บริการของสำนักงานสรรพสามิต เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้านเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยคือ ด้านการตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ ด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ ด้านการให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้รับบริการ ด้านความน่าเชื่อถือในการให้บริการ และด้านการเข้าใจและรู้จักผู้รับบริการตามลำดับส่วนความพึงพอใจของผู้รับบริการเมื่อพิจารณาเป็นราย ด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้านเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยคือ ด้านอัธยาศัยและความสนใจของผู้ให้บริการด้านข้อมูลที่ได้รับจากบริการ ด้านค่าใช้จ่ายเมื่อใช้บริการด้านการประสานงานของการบริการและด้านความสะดวกที่ได้รับจากบริการตามลำดับ</span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> คุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้รับบริการพบว่าคุณภาพการให้บริการ ด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ ด้านการเข้าใจและรู้จักผู้รับบริการ ด้านความน่าเชื่อถือในการให้บริการด้านการให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้รับบริการ และด้านการตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการสามารถร่วมกันพยากรณ์ความพึงพอใจของผู้รับบริการได้ร้อยละ 71 </span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> เปรียบเทียบคุณภาพการให้บริการตามการรับรู้ของผู้รับบริการของสำนักงานสรรพสามิต จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลพบว่าอาชีพ ด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่าง</span></li> <li><span style="font-weight: 400;"> เปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้รับบริการของสำนักงานสรรพสามิต จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่าด้านการประสานงานของการบริการแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่าง</span></li> </ol>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/272778
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการเป็นวิสาหกิจชุมชนในยุคดิจิทัล ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2024-08-30T16:45:30+07:00
รตีนันฑา บุญแช่มชู
rateenantha157@gmail.com
แสงทอง บุญยิ่ง
rateenantha157@gmail.com
อเนก พุทธิเดช
rateenantha157@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยความพร้อมของการเป็นองค์กรดิจิทัล สมรรถนะทางดิจิทัลขององค์กร และการบริหารวิสาหกิจชุมชน และ 2) วิเคราะห์โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยความพร้อมของการเป็นองค์กรดิจิทัล สมรรถนะทางดิจิทัลขององค์กร และการบริหารวิสาหกิจชุมชน ตัวอย่างในการวิจัย คือ ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา การศึกษานี้มุ่งเน้นการเลือกกลุ่มผู้ประกอบการจากวิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งประกอบด้วยผู้ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญ ได้แก่ ประธาน รองประธานคนที่ 1 รองประธานคนที่ 2 หรือเหรัญญิกของวิสาหกิจชุมชน จากวิสาหกิจชุมชนทั้งหมดจำนวน 230 กิจการ การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างในครั้งนี้ ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงตำแหน่ง โดยได้ขนาดตัวอย่างทั้งสิ้น 690 ตัวอย่าง ทั้งนี้ การสุ่มตัวอย่างได้ดำเนินการตามวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างในแต่ละประเภทกิจการ ซึ่งมีเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า โดยมีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา <br />อยู่ระหว่าง .67-1.00 ค่าสัมประสิทธิ์ของความเชื่อมั่น อยู่ระหว่าง .86-.91 และสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลตามโมเดลสมการโครงสร้าง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลการศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยความพร้อมของการเป็นองค์กรดิจิทัล ปัจจัยสมรรถนะทางดิจิทัลขององค์กร และปัจจัยการบริหารวิสาหกิจชุมชน มีระดับความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> <p> 2. ผลการวิเคราะห์โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยความพร้อมของการเป็นองค์กรดิจิทัล ปัจจัยสมรรถนะทางดิจิทัลขององค์กร และปัจจัยการบริหารวิสาหกิจชุมชน มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด โดยปัจจัยความพร้อมของการเป็นองค์กรดิจิทัลมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อปัจจัยการบริหารวิสาหกิจชุมชน และปัจจัยสมรรถนะทางด้านดิจิทัล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีอิทธิพลทางอ้อมเชิงบวกต่อปัจจัยการบริหารวิสาหกิจชุมชนโดยส่งผ่านปัจจัยสมรรถนะทางด้านดิจิทัล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากนี้ ปัจจัยสมรรถนะทางด้านดิจิทัลมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อปัจจัยการบริหารวิสาหกิจชุมชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/272627
ภาวะผู้นำเชิงรุกของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี
2024-09-13T15:40:24+07:00
นิรุต ทวีวัฒนพงษ์
thaweewattanaphong@gmail.com
สาโรจน์ เผ่าวงศากุล
thaweewattanaphong@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงรุกของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี จำแนกตามเพศ ประสบการณ์ทำงาน และขนาดสถานศึกษา ตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี จำนวน 306 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ตามขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา 1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ .99 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำเชิงรุกของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี โดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุดเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย คือ ด้านการมีจินตนาการ และด้านการรู้จักตนเอง สำหรับด้านที่มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก คือ ด้านการมีวิจารณญาณ และด้านการมีความมุ่งมั่นที่เป็นอิสระ</li> </ol> <p> 2. การเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงรุกของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี จำแนกตามเพศ โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน เมื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงรุกของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการมีจินตนาการ และด้านการรู้จักตนเอง มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเมื่อจำแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน โดยครูที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี มีความคิดเห็นว่าผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำเชิงรุกสูงกว่าครูที่มีประสบการณ์น้อยกว่า 5 ปี</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/271968
การพัฒนาการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบไฮสโคปโดยใช้เกมการศึกษา เพื่อส่งเสริมการคิดเชิงเหตุผลสำหรับเด็กปฐมวัย
2024-09-19T11:39:09+07:00
พัชราภรณ์ มุ่งสิน
teacheroung@gmail.com
ธิดารัตน์ จันทะหิน
patcharaporn.mg64@ubru.ac.th
ภูมิพงศ์ จอมหงษ์พิพัฒน์
patcharaporn.mg64@ubru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบไฮสโคปโดยใช้เกมการศึกษาเพื่อส่งเสริม<br />การคิดเชิงเหตุผลสำหรับเด็กปฐมวัย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบการคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัย ก่อนเรียน<br />และหลังเรียนด้วยการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบไฮสโคปโดยใช้เกมการศึกษา และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบไฮสโคปโดยใช้เกมการศึกษา ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นกลุ่ม ได้ห้องอนุบาลปีที่ 3/7 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบไฮสโคปโดยใช้เกมการศึกษาเพื่อส่งเสริมการคิดเชิงเหตุผลสำหรับเด็กปฐมวัย จำนวน 12 แผน แบบประเมินการคิดเชิงเหตุผลสำหรับเด็กปฐมวัย แบบเลือกตอบ ชนิด 3 ตัวเลือก จำนวน <br />12 ข้อ แบบสอบถามความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบไฮสโคปโดยใช้เกมการศึกษา จำนวน <br />5 ข้อ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li>1. ผลการพัฒนาการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบไฮสโคปโดยใช้เกมการศึกษาเพื่อส่งเสริมการคิดเชิงเหตุผลสำหรับ<br />เด็กปฐมวัย มีประสิทธิภาพที่ระดับ 83/83.89 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้</li> <li>2. ผลการเปรียบเทียบการคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัย ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดประสบการณ์เรียนรู้<br />แบบไฮสโคปโดยใช้เกมการศึกษา พบว่าหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบไฮสโคปโดยใช้เกมการศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมาก โดยมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 2.85 คิดเป็นร้อยละ 95.07 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ .41 </li> </ol>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/273015
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการความรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ
2024-09-22T09:24:06+07:00
ธัญญ์พิชชญา วามะลุน
thanpichaya.wg65@ubru.ac.th
ภานุพงศ์ บุญรมย์
thanpichaya.wg65@ubru.ac.th
ชวนคิด มะเสนะ
thanpichaya.wg65@ubru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการความรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ 2) เปรียบเทียบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการความรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาแนวทางการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการความรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ ตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 47 คน ครูผู้สอน จำนวน 280 คน รวมทั้งหมด <br />327 คน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย กำหนดเป็นกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจชี่และมอร์แกน กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 6 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .96 และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การทดสอบเอฟ และการทดสอบความแตกต่างโดยใช้วิธีการของ Scheffe'</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการความรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>การเปรียบเทียบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการความรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ จำแนกตามตำแหน่ง พบว่า โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จำแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนจำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน พบว่า โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</li> </ol> <p>3. แนวทางการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการความรู้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ พบว่า ด้านการสร้างและแสวงหาความรู้ ควรสนับสนุนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้ารับการอบรมพัฒนาการใช้สื่อเทคโนโลยีให้มีการใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา เพื่อใช้ในการสร้างและแสวงหาความรู้ ให้มีแหล่งการศึกษาเรียนรู้ เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างหลากหลาย และสามารถนำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้านการจัดเก็บข้อมูล ควรจัดการความรู้ให้เป็นหมวดหมู่ จำแนกประเภทของข้อมูลสารสนเทศให้ชัดเจน ด้านการนำความรู้ไปใช้ ควรส่งเสริมสนับสนุนให้ครูและบุคลากรทาง<br />การศึกษาได้รับการพัฒนาทางด้านการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้ในการปฏิบัติงานในสำนักงานและในชั้นเรียน และ<br />ด้านการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ ควรส่งเสริมสนับสนุนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษามีความรู้ความสามารถและมีความชำนาญในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้เพื่อการจัดการความรู้ในสถานศึกษาได้รับการพัฒนาทางด้านการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้ใน<br />การปฏิบัติงานในสำนักงานได้รับการพัฒนาทางด้านการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้ในการปฏิบัติงานในสำนักงานและในชั้นเรียน <br />และด้านการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ ควรส่งเสริมสนับสนุนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษามีความรู้ความสามารถและมีความชำนาญในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้เพื่อการจัดการความรู้ในสถานศึกษา</p> <p> </p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/273348
ผลของการใช้แนวทางบูรณาการของเมอร์ด็อกซ์ (MIA) ร่วมกับเกมคาฮูทที่มีต่อความเข้าใจ ในการอ่านภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
2024-09-25T14:16:25+07:00
ภัทรมน บรรณจิต
packphattaramon@gmail.com
สวัสดิ์ชัย ศรีพนมธนากร
Packphattaramon@gmail.com
ชวนพบ เอี่ยวสานุรักษ์
Packphattaramon@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับ<br />การจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวทางบูรณาการของเมอร์ด็อกซ์ (MIA) ร่วมกับเกมคาฮูท ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และ 2) เปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวทางบูรณาการของเมอร์ด็อกซ์ (MIA) ร่วมกับเกมคาฮูท และการจัดการเรียนรู้แบบปกติ ตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนยอแซฟวิทยา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 2 ห้องเรียน โดยใช้การสุ่มอย่างง่ายกำหนดเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 30 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวทางบูรณาการของเมอร์ด็อกซ์ (MIA) ร่วมกับเกมคาฮูท 2) แผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ 3) แบบทดสอบความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที <br />และการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมชนิดทางเดียว</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวทางบูรณาการของเมอร์ด็อกซ์ (MIA) ร่วมกับเกมคาฮูท <br />มีความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol> <p> 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวทางบูรณาการของเมอร์ด็อกซ์ (MIA) ร่วมกับเกมคาฮูท <br />มีความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/271455
สภาพการบริหารการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัล ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1
2024-07-06T13:20:15+07:00
ดวงแข ผิวทอง
duangkhae.pg65@ubru.ac.th
สมฤทัย เตาจันทร์
Duangkhae20@gmail.com
ชวนคิด มะเสนะ
Duangkhae20@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 2) เปรียบเทียบสภาพการบริหารการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดโรงเรียน และ 3) ศึกษาแนวทางการบริหารการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา <br />ยุคดิจิทัลในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 โดยศึกษาสภาพการบริหาร<br />การเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 ใน 4 ด้าน คือ ด้านโครงสร้างองค์การ ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านบุคลากร และด้านวัฒนธรรมองค์การ ตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ <br />1) ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 31 คน และครูผู้สอน จำนวน 310 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 341 คน ได้มาโดยการกำหนดขนาดตัวอย่างจากตารางสำเร็จรูป Krejcie และ Morgan โดยใช้การสุ่มแบบชั้นภูมิอย่างเป็นสัดส่วน 2) กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 6 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .98 และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย <br />ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การทดสอบเอฟ และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพการบริหารการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 พบว่า โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก</li> <li>การเปรียบเทียบสภาพการบริหารการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 จำแนกตามตำแหน่งและประสบการณ์การทำงาน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนจำแนกตามขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li>แนวทางการบริหารการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 พบว่า 1) ด้านโครงสร้างองค์การ ผู้บริหารสถานศึกษาศึกษาสถานการณ์ปัจจุบัน<br />ของสถานศึกษา กำหนดนโยบาย และทิศทางการบริหารที่มีความยืดหยุ่น เน้นการมีส่วนร่วม ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการขับเคลื่อนการบริหารงาน 4 ฝ่าย ส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ผู้บริหารสถานศึกษาใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเข้าใจและตระหนักต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณ สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ที่มีความทันสมัย 3) ด้านบุคลากร ผู้บริหารสถานศึกษามีการสื่อสาร สร้างความเข้าใจ การยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลง สร้างแรงจูงใจในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง นำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการปฏิบัติงานและจัดการเรียนรู้ ส่งเสริมให้ครูและบุคลากรพัฒนาตนเองในด้าน ICT อย่างสม่ำเสมอ 4) ด้านวัฒนธรรมองค์การ ผู้บริหาร<br />มีการปรับกระบวนการคิด วิสัยทัศน์และความเชื่อมั่น สร้างค่านิยมและบรรทัดฐานการทำงานแบบใหม่ภายใต้การนำเทคโนโลยี<br />มาใช้ในการอำนวยความสะดวก ให้เป็นแนวทางใหม่ของการดำเนินงานของสถานศึกษา</li> </ol>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/271965
ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษากับความสำเร็จในการจัดองค์การแห่งการเรียนรู้ ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1
2024-07-23T16:25:35+07:00
ปัทมา กองทรัพย์
patthama150937@gmail.com
พงษ์ศักดิ์ ทองพันชั่ง
stu6530117124@sskru.ac.th
สุรศักดิ์ ศรีกระจ่าง
stu6530117124@sskru.ac.th
<p> </p> <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 2) ศึกษาระดับความสำเร็จในการจัดองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษากับความสำเร็จในการจัดองค์การ<br />แห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 และ 4) ศึกษาอิทธิพลบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการจัดองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ศรีสะเกษ เขต 1 ตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 จำนวน 331 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิและเทียบสัดส่วนตามขนาดของสถานศึกษา จำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 40 คน และครูในสถานศึกษาจำนวน 291 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม <br />มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับของแบบสอบถามเท่ากับ .99 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันและการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับ<br />มากที่สุด (= 4.57, S = .37) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านผู้สร้างความสัมพันธ์กับชุมชน มีระดับความคิดเห็นมากที่สุด <br />(= 4.71, S = .43) รองลงมาคือ ด้านผู้บริหารงานบุคคล (= 4.70, S = .40) ด้านผู้นำกลุ่มทางวิชาการ (= 4.66, S = .58) <br />ด้านผู้ประสานงาน (= 4.45, S = .56) และด้านผู้สื่อสาร (= 4.33, S = .57) ตามลำดับ</li> <li>ความสำเร็จในการจัดองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.51, S = .38) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการจัดการความรู้ มีระดับความคิดเห็นมากที่สุด (= 4.66, S = .32) รองลงมาคือ ด้านการนำเทคโนโลยีไปใช้ (= 4.53, S = .45) ด้านการเสริมความรู้แก่บุคคล (= 4.51, S = .67) ด้านพลวัตการเรียนรู้ (= 4.45, S = .72) และด้านการปรับเปลี่ยนองค์การ (= 4.39, S = .47) ตามลำดับ</li> <li>ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านผู้สื่อสาร (X<sub>3</sub>) ด้านผู้ประสานงาน (X<sub>2</sub>) ด้านผู้สร้างความสัมพันธ์กับชุมชน (X<sub>5</sub>) ด้านผู้บริหารงานบุคคล (X<sub>4</sub>) และด้านผู้นำกลุ่มทางวิชาการ (X<sub>1</sub>) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความสำเร็จในการจัดองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 (Y) ด้วยค่าสหสัมพันธ์เพียรสัน .55, .49, .43, .37 และ .33 ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 มีความสัมพันธ์กันในระดับ สูงทุกด้าน</li> <li>อิทธิพลบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา ผู้นำกลุ่มทางวิชาการ (t = 1.48 , P = .04) ด้านผู้ประสานงาน (t = 6.40 , P = .00) ด้านด้านผู้สื่อสาร (t = 8.05 , P = .00) ด้านผู้บริหารงานบุคคล (t = 2.42, P = .02) และด้านผู้สร้างความสัมพันธ์กับชุมชน (t = 1.99 , <br />P = .05) มีอิทธิพลกับความสำเร็จในการจัดองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา<br />ศรีสะเกษ เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05, .01, .01, .05 และ .05 ตามลำดับ</li> </ol>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/273856
การบริหารจัดการความเสี่ยงและการควบคุมภายในที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของเทศบาลเมืองยโสธร
2024-10-19T10:24:24+07:00
อานนท์วัฒน์ ขันธ์โมลี
arnonvat.kg64@ubru.ac.th
ฐิติพร อุ่นใจ
arnonvat.kg64@ubru.ac.th
อัยรดา พรเจริญ
arnonvat.kg64@ubru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารจัดการความเสี่ยงและการควบคุมภายในที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเทศบาลเมืองยโสธร และ 2) เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเทศบาลเมืองยโสธร จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่ง และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน ตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรในสังกัดเทศบาลเมืองยโสธร จำนวน 223 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ การทดสอบที วิเคราะห์ค่าความแปรปรวนการทดสอบแอฟ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1.การบริหารจัดการความเสี่ยงและการควบคุมภายในด้านกิจกรรมการติดตามผล ด้านการสื่อสารและการรายงาน ด้านการระบุความเสี่ยง ด้านการวิเคราะห์องค์กร ส่งผลต่อความประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลเมืองยโสธรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสภาพแวดล้อมการควบคุม มีผลต่อความประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลเมืองยโสธรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ถดถอยเชิงพหุคูณ (R) เท่ากับ .62 และตัวแปรทั้ง 5 ตัวแปร สามารถร่วมกันทำนายประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลเมืองยโสธรได้ร้อยละ 37.10 (R<sup>2</sup><sub>adj</sub>= .371)</p> <p> 2. บุคลากรที่มีเพศต่างกัน ให้ความสำคัญ ด้านกิจกรรมการติดตามผลด้านการสื่อสารและการรายงาน และด้านการวิเคราะห์องค์กร ไม่แตกต่างกัน ด้านการการระบุความเสี่ยง และด้านสภาพแวดล้อมการควบคุม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 บุคลากรที่มีอายุต่างกัน ให้ความสำคัญด้านกิจกรรมการติดตามผล ด้านการวิเคราะห์องค์กร และด้านสภาพแวดล้อมการควบคุม ไม่แตกต่างกัน ด้านการระบุความเสี่ยง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ด้านการสื่อสารและการรายงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 บุคลากรที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในเทศบาลเมืองยโสธรที่ต่างกัน ให้ความสำคัญด้านกิจกรรมการติดตามผล ด้านการระบุความเสี่ยง ด้านการวิเคราะห์องค์กร และด้านสภาพแวดล้อมการควบคุม ไม่แตกต่างกัน ด้านการสื่อสารและการรายงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 บุคลากรที่มีระดับการศึกษาและตำแหน่งต่างกันให้ความสำคัญด้านกิจกรรมการติดตามผล ด้านการสื่อสาร และการรายงาน ด้านการระบุความเสี่ยง ด้านการวิเคราะห์องค์กร ด้านสภาพแวดล้อมการควบคุมไม่แตกต่างกัน</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/Pitchayatat/article/view/274349
ผลกระทบของต้นทุนคุณภาพที่มีต่อประสิทธิภาพการทำงานของสำนักงานบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร
2024-10-26T10:05:51+07:00
ธนวรรณ จงประเสริฐพร
thanawan.cho@ku.th
สุชาดา เจียมสกุล
thanawan.cho@ku.th
<p> </p> <p>การวิจัยในนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของต้นทุนคุณภาพที่มีต่อประสิทธิภาพการทำงานของสำนักงานบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเก็บข้อมูลแบบสอบถามจำนวน 114 ชุด โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างด้วยเทคนิควิธีอาศัยความสะดวก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ มีระดับความเชื่อมั่นที่ 95% หรือมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการทำงานของสำนักงานบัญชีมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.19 โดยมีค่าเฉลี่ยด้านเวลาสูงสุดเท่ากับ 4.32 และ ด้านคุณภาพของงานมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดเท่ากับ 3.98. ส่วนระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับต้นทุนคุณภาพมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.91 โดยมีค่าเฉลี่ยของด้านการตรวจสอบและแก้ไขสูงสุดเท่ากับ 4.29 และด้านความเสียหายที่เกิดขึ้นภายในมีค่าเฉลี่ยต่ำสุดเท่ากับ 3.33 และจากสถิติเชิงอ้างอิงโดยใช้สมการความถดถอยเชิงพหุคูณที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ผลการศึกษาพบว่า ต้นทุนคุณภาพด้านการตรวจสอบและแก้ไขมีอิทธิพลเชิงบวกกับประสิทธิภาพการทำงานของสำนักงานบัญชี<br />ทุกมุมมองและโดยภาพรวม และ พบว่า ต้นทุนคุณภาพด้านความเสียหายภายนอกมีอิทธิพลเชิงลบกับประสิทธิภาพการทำงาน<br />ของสำนักงานบัญชีด้านคุณภาพ ซึ่งอธิบายได้ว่าการลงทุนในต้นทุนคุณภาพด้านการตรวจสอบและแก้ไขเพิ่มขึ้นส่งผลให้ประสิทธิภาพ<br />การทำงานของสำนักงานบัญชีเพิ่มขึ้น แต่หากมีความเสียหายเกิดขึ้นกับลูกค้าหรือบุคคลภายนอกมากขึ้นย่อมทำให้ประสิทธิภาพ<br />การทำงานของสำนักงานลดลง</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี