การศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพและปัญหาการใช้โปรแกรมข้อมูลและสารสนเทศ นักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29
คำสำคัญ:
สภาพและปัญหา, โปรแกรมข้อมูลและสารสนเทศบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพและปัญหาการใช้โปรแกรมข้อมูลและสารสนเทศนักเรียนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีต่อสภาพและปัญหาการใช้โปรแกรมข้อมูลและสารสนเทศนักเรียนในสถานศึกษา จำแนกตามตำแหน่งและขนาดสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือสถานศึกษาจำนวน 67 โรงเรียน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่า t และค่า F ผลการวิจัยพบว่า 1. สถานศึกษาใช้โปรแกรมสารสนเทศนักเรียนในสถานศึกษาอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการใช้โปรแกรมสารสนเทศนักเรียนในสถานศึกษาอยู่ในระดับมาก 3 ขั้นตอน และระดับปานกลาง 3 ขั้นตอน สถานศึกษามีปัญหาการใช้โปรแกรมข้อมูลและสารสนเทศนักเรียนในสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่ามีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาการใช้โปรแกรมสารสนเทศนักเรียนในสถานศึกษาอยู่ในระดับมาก 2.ผู้บริหารสถานศึกษาและครูเห็นว่าการใช้โปรแกรมข้อมูลและสารสนเทศนักเรียนในสถานศึกษาจำแนกตามตำแหน่ง โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน 3.ผู้บริหารสถานศึกษาและครูมีความคิดเห็นต่อปัญหาการใช้โปรแกรมข้อมูลและสารสนเทศนักเรียนในสถานศึกษาโดยภาพรวมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.ผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนต่างมีความคิดเห็นต่อสภาพการใช้ข้อมูลโดยภาพรวมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5.ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในโรงเรียนโดยภาพรวมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 6.ผู้บริหารสถานศึกษาและครูให้ข้อเสนอแนะว่า 1) ควรบูรณาการทุกโปรแกรมให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลเข้าหากันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) ควรจัดบุคลากรที่มีความสามารถเฉพาะ 3) การใช้โปรแกรมสารสนเทศนักเรียนในสถานศึกษาควรมีการนิเทศตรวจสอบการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ 4) ควรมีการเพิ่มเวลาในการจัดทำข้อมูลให้มีความสมบูรณ์ และ 5) ควรเพิ่มเครือข่ายในการทำงานเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบมากขึ้น
เอกสารอ้างอิง
จันดา ม่วงดี. การพัฒนาการจัดระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโรงเรียนโนนศรีดาวิทยา อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด. การศึกษาค้นคว้าอิสระการศึกษามหาบัณฑิต มหาสารคาม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม , 2547.
ดวงรัชต์ พงษ์ประเสริฐ.การนำเสนอแนวทางการบริหารระบบสารสนเทศของสถานศึกษา สังกัด สำนักเขตพื้นที่การศึกษานครสวรรค์ เขต 3.วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์, 2552.
ทดสอบทางการศึกษาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน,สำนัก.การจัดระบบบริหารและสารสนเทศในสถานศึกษา. กรุงเทพฯ:สำนักทดสอบทางการศึกษา, 2553.
นิตยา ทับพุ่ม.ปัญหาและความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการจัดระบบสารสนเทศทางการศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดลพบุรี.วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สถาบันราชภัฏเทพสตรี, 2544.
พรทิพย์ ทรงนภาวุฒิกุล. สภาพปัญหาและความต้องการในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสมุทรปราการ. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี, 2549.
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ 3), พ.ศ. 2553, “ราชกิจจานุเบกษา”. เล่มที่ 127 ตอนที่ 45. หน้า . กรกฎาคม 2553.
ศิริชัย เศิกศิริ. ความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพและปัญหาการใช้โปรแกรมข้อมูลและสารสนเทศนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษา ยโสธร เขต 2. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิตมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี, 2555.
สุพจน์ บุญยืน. สภาพและปัญหาการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารและการจัดการศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี.วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา สถาบันราชภัฏอุบลราชธานี,2544.
Fernandez, Dianne Jody. Management, Information Technology and Communications. New York : McGraw-Hill, 2008.
Richardson, W. Jayson. The Adoption of Technology Training by Teacher in Trainers in Canbodia : a Study of the Diffusion of an ICT Innovation. Doctoral dissertation Submitted to the Faculty of Graduate School of the University of Minnesota, 2007.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความทุกเรื่องได้รับการตรวจความถูกต้องทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกอย่างน้อย 2 คน ความคิดเห็นในวารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนมิใช่ความคิดเห็นของผู้จัดทำ จึงมิใช่ ความรับผิดชอบของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี และบทความในวารสารบัณฑิตวิทยาลัย พิชญทรรศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี สงวนสิทธิ์ตามกฎหมายไทย การจะนำไปเผยแพร่ต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากกองบรรณาธิการ