มาตรวัดการสร้างสรรค์เชิงศิลปะในนิสิตนักศึกษาด้านศิลปะฉบับภาษาไทย

ผู้แต่ง

  • วิภาวี วรวุฒิวิทยารักษ์ และ อรัญญา ตุ้ยคำภีร์ คณะจิตวิทยา สาขาจิตวิทยาการปรึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

DOI:

https://doi.org/10.69598/sbjfa179580

คำสำคัญ:

การสร้างสรรค์เชิงศิลปะ, นิสิต, นักศึกษาด้านศิลปะ, มาตรวัด

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบคุณภาพมาตรวัดการสร้างสรรค์เชิงศิลปะในนิสิตนักศึกษาด้านศิลป์ฉบับภาษาไทย มาตรวัดนี้พัฒนามาจากมาตรวัดต้นฉบับ The Epstein Creativity Competencies Inventory for Individuals (ECCI-i)ของEpsteinและคณะ1กลุ่มตัวอย่าง เป็นนิสิตนักศึกษาปริญญาตรี ที่กำลังศึกษาอยู่ในคณะหรือสาขาด้านศิลปะ เช่น คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะครุศาสตร์ สาขาศิลปศึกษา คณะอักษรศาสตร์ สาขาการละคร เป็นต้น จำนวน 197 คน อายุเฉลี่ย 20.51+1.20 ปี ช่วงอายุ 18-26 ปีคัดเลือกแบบรายสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ มาตรวัดการสร้างสรรค์เชิงศิลปะในนิสิตนักศึกษาด้านศิลป์ฉบับภาษาไทย และ มาตรวัดภาวะซึมเศร้า วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์หรือนิยาม ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างข้อคำถามแต่ละข้อกับคะแนนรวมทั้งชุด ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของคอนบราคและค่าวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า มาตรวัดการสร้างสรรค์เชิงศิลปะในนิสิตนักศึกษาด้านศิลป์ฉบับภาษาไทย มีจำนวน 28ข้อ ประกอบด้วย 4 ด้านย่อย ได้แก่ การจับเก็บ เพาะบ่มไอเดียใหม่ๆ (Capturing) การทำสิ่งท้าทาย (Challenging)  การเพิ่มพูนความรู้ ประสบการณ์  (Broadening) การเปลี่ยนสภาวะแวดล้อม (Surrounding)   มาตรวัดนี้ มีความตรงตามเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญตามเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ค่าความเที่ยงแบบสอดคล้องภายในด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของมาตรวัดทั้งฉบับ เท่ากับ .76 และรายด้านเท่ากับ.54, .61, .67 และ .76 ตามลำดับ  ผลการตรวจสอบความตรงแบบลู่เข้า  พบว่า มาตรวัดการสร้างสรรค์เชิงศิลปะในนิสิตนักศึกษาด้านศิลป์ฉบับภาษาไทย มีความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงทางลบกับมาตรวัดภาวะซึมเศร้า (r  เท่ากับ -30, p<.01)

Downloads

Download data is not yet available.

เผยแพร่แล้ว

11-12-2019

รูปแบบการอ้างอิง

อรัญญา ตุ้ยคำภีร์ ว. ว. แ. (2019). มาตรวัดการสร้างสรรค์เชิงศิลปะในนิสิตนักศึกษาด้านศิลปะฉบับภาษาไทย. วารสารศิลป์ พีระศรี, 7(1), 89–110. https://doi.org/10.69598/sbjfa179580

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย