ความเชื่อเรื่องโภชนาการของคนรุ่นใหม่ที่มีต่อการบริโภคขนมไทยในสมัยอยุธยาที่มีต้นกำเนิดโดยท้าวทองกีบม้า
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความเชื่อเรื่องโภชนาการของขนมไทยในสมัยอยุธยาที่มีต้นกำเนิดโดยท้าวทองกีบม้าของคนรุ่นใหม่ (2) ศึกษาการบริโภคขนมไทยในสมัยอยุธยาที่มีต้นกำเนิดโดยท้าวทองกีบม้าของคนรุ่นใหม่ (3) ศึกษาอิทธิพลของความเชื่อเรื่องโภชนาการของคนรุ่นใหม่ที่มีต่อการบริโภคขนมไทยในสมัยอยุธยาที่มีต้นกำเนิดโดยท้าวทองกีบม้า เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่ม Generation Z และ Millennials อายุ 18-42 ปี จำนวน 400 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัยพบว่า (1) ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 18-22 ปี มีการศึกษาระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพนักเรียน/นักศึกษา มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน มีภูมิลำเนาในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และไม่มีโรคประจำตัว โดยส่วนใหญ่เคยไปเยี่ยมชมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3-4 ครั้ง การรับรู้เกี่ยวกับท้าวทองกีบม้า ส่วนใหญ่เคยได้ยินชื่อท้าวทองกีบม้า แต่ไม่แน่ใจในรายละเอียด โดยได้รับข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์เมื่อถามถึงความรู้เกี่ยวกับขนมไทยในสมัยอยุธยาที่มีต้นกำเนิดโดยท้าวทองกีบม้าสามารถตอบได้ว่าขนมไทยเหล่านี้มีต้นกำเนิดจากท้าวทองกีบม้า (2) ความเชื่อเรื่องโภชนาการของขนมไทย ส่วนใหญ่คนรุ่นใหม่มีความเชื่อเรื่องโภชนาการของขนมไทยในสมัยอยุธยาที่มีต้นกำเนิดโดยท้าวทองกีบม้าโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ความเชื่อด้านคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มีค่าสูงสุด รองลงมาคือ ความเชื่อด้านผลกระทบต่อสุขภาพ และความเชื่อด้านสรรพคุณของขนมไทยแต่ละชนิดมีค่าต่ำสุด (3) การบริโภคขนมไทยในสมัยอยุธยาที่มีต้นกำเนิดโดยท้าวทองกีบม้า โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า กลุ่มตัวอย่างสามารถระบุชื่อและลักษณะของขนมไทยสมัยอยุธยาได้มากที่สุด รองลงมาคือ มีความตั้งใจจะแนะนำและชักชวนให้ผู้อื่นรับประทานขนมไทยโบราณ การรับประทานขนมไทยในงานพิธี งานมงคล หรือเทศกาลสำคัญมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (4) อิทธิพลของความเชื่อเรื่องโภชนาการต่อการบริโภคขนมไทย โดยผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณพบว่า ความเชื่อเรื่องโภชนาการทั้ง 7 ด้าน มีความสัมพันธ์กับการบริโภคขนมไทยในระดับสูง เมื่อพิจารณาอิทธิพลของความเชื่อแต่ละด้านพบว่ามี 3 ตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อการบริโภคขนมไทยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ 1.ความเชื่อด้านการบำรุงธาตุตามภูมิปัญญาโบราณ มีอิทธิพลเชิงบวกสูงสุด 2.ความเชื่อเปรียบเทียบกับขนมสมัยใหม่ มีอิทธิพลเชิงบวกรองลงมา และ 3.ความเชื่อด้านผลกระทบต่อสุขภาพ มีอิทธิพลเชิงลบ
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (2564). รายงานสถานการณ์การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้.https://ich.unesco.org/en/home.
จริยา เดชกุญชร. (2549). ขนมไทย เล่ม 1. บริษัท วี.พริ้นท์ (1991) จำกัด.
ธนวิทย์ ลายิ้ม. (2565). ขนมไทย : วิวัฒนาการและการประยุกต์เพื่อสุขภาพ. วารสารกระแสวัฒนธรรม, 23(44), 70-84. https://so02.tci-thaijo.org/index.php/ cultural_approach/ article/ view/ 254859
เบญจภัคค์ เจริญมหาวิทย์. (2567). ซอฟต์พาวเวอร์ มรดกทางวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา. วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา, 16(1), 84-101. https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jas/article/view/263809
ภูริชา กรพุฒินันท์ และชุติมาวดี ทองจีน. (2559). พฤติกรรมการบริโภคขนมไทยของคนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร. วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา, 8(2), 81-95. https://doi.org/10.53848/irdssru.v8i2.214464
รุ่งทิวา วงศ์ไพศาลฤทธิ์. (2553). ขนมไทยในงานพิธี. ไทยควอลิตี้บุ๊คส์.
วันดี ณ สงขลา. (2550). ขนมไทยเมื่อวันวาน. โรงเรียนครัววันดี
เวนิสา โชติอรุณ. (2543). ขนมไทย 2. แสงแดด.
สุกัญญา สุจฉายา. (2560). อาหารไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา. วารสารมนุษยศาสตร์, 24(2), 1-29. https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/80259
Ajzen, I. (1991). The theory of planned behavior. Organizational Behavior and Human Decision Processes, 50(2), 179-211. https://doi.org/10.1016/0749-5978(91)90020-T
Beverland, M. B., & Farrelly, F. J. (2010). The quest for authenticity in consumption: Consumers' purposive choice of authentic cues to shape experienced outcomes. Journal of Consumer Research, 36(5), 838-856. https://doi.org/10.1086/615047
Bourdieu, P. (1986). The forms of capital. In J. Richardson (Ed.), Handbook of theory and research for the sociology of education. Greenwood Press.
Dimock, M. (2019). Defining generations: Where Millennials end and Generation Z begins. Pew Research Center. https://www.pewresearch.org/fact-tank/2019/01/17/where-millennials-end-and-generation-z-begins/
Dittmar, H. (2008). Consumer culture, identity and well-being: The search for the 'good life' and the 'body perfect'. Psychology Press.
Festinger, L. (1954). A theory of social comparison processes. Human Relations, 7(2), 117-140. https://doi.org/10.1177/001872675400700202
Giddens, A. (1991). Modernity and self-identity: Self and society in the late modern age. Stanford University Press.
Layim, T. (2019). Documents for Teaching Thai Dessert Business. Rajamangala University of Technology Krungthep.
Paquette, M. C. (2005). Perceptions of healthy eating: State of knowledge and research gaps. Canadian Journal of Public Health, 96(3), 15-19. https://doi.org/ 10.17269/ cjph.96.1031
Rosenstock, I. M. (1974). Historical origins of the health belief model. Health Education Monographs, 2(4), 328-335. https://doi.org/10.1177/109019817400200403
Sheeran, P., & Webb, T. L. (2016). The intention-behavior gap. Social and Personality Psychology Compass, 10(9), 503-518. https://doi.org/10.1111/spc3.12265
UNESCO. (2003).Convention for the safeguarding of the intangible cultural heritage. UNESCO. https://ich.unesco.org/en/convention
World Health Organization. (2021). Obesity and overweight. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/obesity-and-overweight