ค่ายศิลปะเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
บทคัดย่อ
ความคิดสร้างสรรค์มีความสำคัญเป็นหนึ่งในทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศไทย 4.0 จึงมีความจำเป็นที่จะพัฒนาพลเมืองให้มีความคิดสร้างสรรค์ โดยวิธีการจัดค่ายศิลปะ บทความวิชาการนี้ จึงจะได้นำเสนอถึงองค์ความรู้คือ 1) ความหมายองค์ประกอบ และประเภทของความคิดสร้างสรรค์ 2) ความเป็นมาของการจัดค่ายศิลปะ หรือศิลปะต่าง ๆ กระบวนการจัดค่ายศิลปะ และกิจกรรมที่เหมาะสมกับการจัดค่ายศิลปะ เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งผลการดำเนินการที่ผ่านมาหลายครั้งนั้นเป็นที่พึงพอใจและมีความยั่งยืน
References
เกสร ธิตะจารี. (2534). ความคิดสร้างสรรค์. กรุงเทพมหานคร : ภาควิชาศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (เอกสารอัดสำเนา).
ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์. (2543). กระบวนการสร้างค่ายศิลปะ. กรุงเทพมหานคร: แม็ทส์ปอยท์.
ทวี ลักษมีวัฒนา และกานต์สุดา มาฆะศิรานนท์. (2550). สอนศิษย์ให้เก่ง. กรุงเทพมหานคร: เอ็กซเปอร์เน็ท.
ทองเจือ เขียดทอง. (2545). Creative Camp สรุปกิจกรรมค่ายความคิดสร้างสรรค์. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี.
วิชัย วงษ์ใหญ่. (2530). ศิลปะเด็ก สร้างสรรค์ความคิดและจินตนาการ. วารสารวิทยาจารย์, 85: 25-28.
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กองงานผู้บริหาร. (2557). คู่มือการจัดค่ายกิจกรรม.กรุงเทพมหานคร : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
อารี พันธ์มณี. (2540). ความคิดสร้างสรรค์กับความรู้. กรุงเทพมหานคร : ต้นอ้อ แกรมมี่.
อารี รังสินันท์. (2533). ความคิดสร้างสรรค์. กรุงเทพมหานคร : ข้าวฟ่าง.
Paufler, A. (2013). Creativity GYM. Bangkok: Nation New Network.
Torrance, E.P. (1969). Guiding Creative Talent. New Delhi: Prentice hall of India Private
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
- บทความในวารสารวิชาการมนุษย์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี เป็นความคิดเห็นของผู้นิพนธ์ ไม่ใช่ความคิดเห็นของกองบรรณาธิการ และไม่ใช่ความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการและ/หรือของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
- กองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์ในการคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแสดงที่มา
- บทความที่ได้รับตีพิมพ์จะมีการตรวจความถูกต้องเหมาะสมจากกองบรรณาธิการและผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง (peer review) จำนวน 3 คน โดยผู้ทรงคุณวุฒิจะไม่ทราบผู้นิพนธ์ และผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ (double-blind peer review)