การพัฒนากระบวนการสร้างเสริมศิลปะการสอนโดย ใช้การศึกษาบทเรียนร่วมกันสำหรับนักศึกษาครู

ผู้แต่ง

  • ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ รองศาสตราจารย์ ดร., ข้าราชการบำนาญคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
  • ณัชภิตษา เชาวนแช่มชื่น อาจารย์ ดร., นักวิชาการอิสระ
  • ภัทรพร สุทธิรัตน์ อาจารย์ ดร., คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
  • นราภรณ์ สโรดม ศึกษานิเทศก์ สพป. พิษณุโลก เขต 3

คำสำคัญ:

การพัฒนากระบวนการ, ศิลปะการสอน, การศึกษาบทเรียนร่วมกัน

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานระดับศิลปะการสอนของนักศึกษาครู กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาครู ชั้นปีที่ 4 ในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ที่อยู่ระหว่างฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู 148 คน ได้มาจากการเปิดตาราง Krejcie and Morgan (1970) จากประชากร 240 คน เครื่องมือวิจัยคือ แบบวัดศิลปะการสอนของนักศึกษาครู มีค่าความเที่ยง 0.82 เก็บรวบรวมข้อมูล โดยให้ครูพี่เลี้ยงแต่ละคนสังเกตศิลปะการสอนของนักศึกษาครู และวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าคะแนนเฉลี่ย (M) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S) แล้วนำไปเทียบกับเกณฑ์ระดับศิลปะการสอนของนักศึกษาครู 4 ระดับ 2) พัฒนากระบวนการสร้างเสริมศิลปะการสอนโดยใช้การศึกษาบทเรียนร่วมกัน แหล่งข้อมูลในการตรวจสอบคุณภาพกระบวนการ คือผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในแต่ละด้านไม่น้อยกว่า 10 ปี จำนวน 5 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบประเมินกระบวนการ สร้างเสริมศิลปะการสอน มีค่าความเที่ยง 0.86 ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพกระบวนการโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าคะแนนเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แล้วนำไปเทียบกับเกณฑ์ระดับความเหมาะสม 4 ระดับ 3) เปรียบเทียบระดับศิลปะการสอนก่อนและหลังการพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาครู ชั้นปีที่ 4 ในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ที่อยู่ระหว่างฝึกประสบการณ์วิชาชีพ จำนวน 7 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากนักศึกษาครูที่ผู้วิจัยเป็นผู้นิเทศก์ เครื่องมือวิจัย คือ แบบวัดศิลปะการสอนของนักศึกษาครู ดำเนินการทดลองโดยวัดศิลปะการสอนก่อน การพัฒนา 2 สัปดาห์ ดำเนินการจัดกิจกรรมพัฒนา 12 สัปดาห์ และวัดศิลปะการสอนหลังการพัฒนา 2 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลระดับของศิลปะการสอนด้วยค่าคะแนนเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานแล้วนำไปเทียบกับเกณฑ์ระดับศิลปะการสอนของนักศึกษาครู 4 ระดับ และ 4) ศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมของกระบวนการสร้างเสริมศิลปะการสอน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาครู 7 คนจากการทดลองในข้อ 3) เครื่องมือวิจัย คือ แบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมของกระบวนการสร้างเสริมศิลปะการสอนของนักศึกษาครู มีค่าความเที่ยง 0.92 เก็บรวบรวมข้อมูล โดยให้นักศึกษาครูตอบแบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมของกระบวนการเป็นรายบุคคล และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าคะแนนเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานแล้วนำไปเทียบกับเกณฑ์ระดับความพึงพอใจ 4 ระดับ ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษาครูมีระดับศิลปะการสอนจากการสำรวจโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (M = 1.593) 2) กระบวนการสร้างเสริมศิลปะการสอนโดยใช้การศึกษาบทเรียนร่วมกันประกอบด้วย 1) หลักการ 2) แนวคิดพื้นฐาน 3) วัตถุประสงค์ 4) การจัดกิจกรรม มี 7 ขั้น คือ (1) ขั้นศึกษาปัญหาการจัดการเรียนรู้ (2) ขั้นวางแผนพัฒนากิจกรรม การจัดการเรียนรู้ร่วมกัน (3) ขั้นพัฒนากิจกรรมการจัดการเรียนรู้ร่วมกัน (4) ขั้นจัดการเรียนรู้กับนักเรียน (5) ขั้นสังเกตและสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ร่วมกัน (6) ขั้นปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ร่วมกัน (7) ขั้นประยุกต์ใช้กับผู้เรียนกลุ่มอื่น และ5) การวัดและประเมินผล โดยกระบวนการมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (M = 3.564) 3) นักศึกษาครูมีระดับศิลปะการสอนโดยรวมก่อนการพัฒนาอยู่ในระดับปานกลาง (M = 1.528) และมีระดับศิลปะการสอนโดยรวมหลังการพัฒนาอยู่ในระดับมากที่สุด (M = 3.639) โดยมีคะแนนเฉลี่ยหลังการพัฒนาเพิ่มขึ้นจากก่อนการพัฒนา (M= 2.111) และ 4) นักศึกษาครู มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมของกระบวนการสร้างเสริมศิลปะการสอน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (M = 3.625)

เอกสารอ้างอิง

ขนิษฐา หินอ่อน และ สุรพันธ์ ตันศรีวงษ์. (2558). ปัญหาและแนวทางในการพัฒนากระบวนการฝึกประสบการณ์วิชาชีพด้านการสอน คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. วารสารวิชาการครุศาสตร์อุตสาหกรรม พระจอมเกล้าพระนครเหนือ, 6(1), 159-167.

ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. (2558). ศิลปะการสอน เพื่อผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (พิมพ์ครั้งที่ 2). วีพรินท์.

ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ และวศินี รุ่งเรือง. (2560). การสำรวจความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อสภาพการใช้ศิลปะการสอนครู. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.

ฉัตรชัย หวังมีจง และองอาจ นัยพัฒน์. (2560). สมรรถนะของครูไทยในศตวรรษที่ 21 : ปรับการเรียน เปลี่ยนสมรรถนะJournal of Intelligence, 12(2), 47-63.

ชาริณี ตรีวรัญญู. (2560). การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพด้วยการพัฒนาบทเรียนร่วมกัน: แนวคิดและแนวทางสู่ความสำเร็จ. วารสารครุศาสตร์, 45(1), 299-319.

ธิดารัตน์ สมานพันธ์, วดาภรณ์ พูลผลอำนวย และนวภัทร สมานพันธ์. (2566). ปัญหา ความต้องการ และแนวคิดในการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการเรียนการสอน วิทยาลัยนครราชสีมา. วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา, 17(2), 213-224.

บุญชม ศรีสะอาด. (2554). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 9). บริษัทสุวีริยาสาส์น จำกัด.

เมธาวี ศรีสิงห์ และศราวุธ อินทรเทศ. (2562). ปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหาการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. วารสารครุศาสตร์อุตสาหกรรม, 18(3), 215-223.

วศินี รุ่งเรือง. (2562). รูปแบบการพัฒนาครูโดยใช้การพัฒนาบทเรียนร่วมกันผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพที่ส่งเสริมศิลปะการสอนของครู. [วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน]. มหาวิทยาลัยนเรศวร.

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2552). สภาพปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนที่ส่งผลกระทบ ต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน. วี.ที.ซี.คอมมิวนิเคชั่น.

Isoda, M. (2010). Lesson Study: Problem Solving Approaches in Mathematics Education as a Japanese Experience. Procedia Social and Behavioral Sciences, 8, 17-27.https://doi.org/10.1016/j.sbspro.2010.12.003.

Johnson, D. W., Johnson, R. T., and Smith, K. A. (1998). Cooperative Learning Returns To College What Evidence Is There That It Works?. Change: The Magazine of Higher Learning, 30(4), 26-35. https://doi.org/10.1080/00091389809602629.

Joyce, B., and Weil, M. (2000). Models of teaching (6th ed.). Boston: Allyn and Bacon.

Krejcie, R. V., and Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607-610. https://doi.org/10.1177/001316447003000308

Stigler, J. W., and Hiebert, J. (1999). The Teaching gap: best ideas from the world's teachers for improving education in the classroom. Free Press.

Van Es, E.A., and Sherin, M.G. (2010). The Influence of Video Clubs on Teachers’ Thinking and Practice. J Math Teacher Educ, 13, 155–176. doi 10.1007/s10857-009-9130

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-12-30