การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ : เพื่อส่งเสริมการคิดเชิงระบบ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
คำสำคัญ:
พัฒนา, รูปแบบการเรียนการสอน, ประวัติศาสตร์, การคิดเชิงระบบบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการคิดเชิงระบบ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 11 ท่าน ได้แก่ อาจารย์มหาวิทยาลัย จำนวน 3 ท่าน ศึกษานิเทศก์กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมจำนวน 3 ท่าน ผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 5 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) รูปแบบการเรียนการสอนประวัติศาสตร์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการคิดเชิงระบบ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ เกี่ยวกับ 4 ด้าน คือ ด้านความถูกต้อง ด้านความเหมาะสม ด้านความเป็นไปได้ และด้านความเป็นประโยชน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) ศึกษาผลการการทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ เพื่อส่งเสริมการคิดเชิงระบบ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนผดุงวิทยา อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 7 คน และโรงเรียนหนองสะแกประชานุกูล อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 8 คน จำนวน 15 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เลือกจากโรงเรียนที่มีปัญหาด้านการคิดเชิงระบบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) รูปแบบการเรียนการสอนประวัติศาสตร์เพื่อส่งเสริมการคิดเชิงระบบ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) แบบสังเกตพฤติกรรมการคิดเชิงระบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้การตรวจสอบความแตกต่างระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติทดสอบค่าที (Paired-Samples T-test)
ผลการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบการเรียนการสอนประวัติศาสตร์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการคิดเชิงระบบ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มี 5 องค์ประกอบ คือ (1) หลักการของรูปแบบ (2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ (3) เนื้อหา 4) การจัดการเรียนรู้ และ(5) การวัดและประเมินผล และ 2) ผลการประเมินการคิดเชิงระบบในภาพรวมอยู่ในระดับร้อยละ 84.54 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ในระดับร้อยละ 75 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ : เพื่อส่งเสริมการคิดเชิงระบบ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
เอกสารอ้างอิง
2. มนตรี แย้มกสิกร (2546). การพัฒนารูปแบบการสอนเพื่อพัฒนาการคิดเชิงระบบของนิสิตระดับปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีทางการศึกษา. ปริญญานิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต (สาขาการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
3. เรขา อรัญวงศ์. (2543). รูปแบบการสอน (Models of Teaching. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กำแพงเพชร: มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร.
4. ทิศนา แขมมณี. (2550). ศาสตร์การสอน. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์.
5. ทิศนา แขมมณี. (2555). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ (พิมพ์ครั้งที่ 15). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
6. ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ. (2553). การพัฒนาการคิด. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด 9119 เทคนิค พริ้นติ้ง.
7. ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คพับลิเคชั่นส์.
8. สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2560). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (2560-2564). กรุงเทพฯ: สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ.
9. สำนักงานคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2560). แผนการศึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 พุทธศักราช 2560-2564. กรุงเทพฯ: สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ.
10. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ.(2552). แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2552-2559. กรุงเทพฯ: พริกหวานกราฟิก.
11. Joyce, B., & Weil, M. (1996). Models of teaching (5th ed.). London: Allyn and Bacon.
12. National Center for History in the Schools. (1996). National standards for history : Basic edition.(pp. 27). Los Angeles, CA : NCHS at the University of California.