กลุ่มชาติพันธุ์ไทโส้ในแอ่งสกลนคร
Main Article Content
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีปัญหาการวิจัยดังนี้1)กลุ่มชาติพันธุ์ไทโส้ในแอ่งสกลนคร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร 2) ลักษณะของศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา คติความเชื่อ และวิถีชีวิตของชาติพันธุ์ไทโส้ในแอ่งสกลนครเป็นอย่างไร โดยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัยดังนี้ 1) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ไทโส้ในแอ่งสกลนคร 2)เพื่อศึกษาลักษณะศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา คติความเชื่อและวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ไทโส้ในแอ่งสกลนคร เป็นการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (Historical Research) มีวิธีดำเนินการวิจัย 5 ขั้นตอนคือ 1) ที่มาของปัญหา 2) ขั้นรวบรวมและคัดเลือกหลักฐาน 3) ขั้นวิเคราะห์และตีความหลักฐาน 4) ขั้นสังเคราะห์ 5) ขั้นเสนอข้อเท็จจริง วิธีการศึกษาใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสาร ทั้งเอกสารชั้นต้นและเอกสารชั้นรอง ประกอบกับการศึกษาภาคสนาม ด้วยวิธีการสัมภาษณ์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้รู้ ปราชญ์ชาวบ้าน และประชาชนทั่วไปในหมู่บ้านชาวไทโส้ในอำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร และจังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร ที่มีชาวไทโส้อาศัยอยู่ ผลการศึกษาพบว่า1.ประวัติความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ไทโส้ในแอ่งสกลนคร ผลการวิจัยพบว่า 1.1. ถิ่นดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทโส้ก่อนอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งในแอ่งสกลนคร พบว่า มีถิ่นฐานดั้งเดิมกระจัดกระจายอยู่หลายเมืองของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้แก่เมืองอู เมืองวัง และเมืองมหาชัยกองแก้วหรือภูวานากะแด้ง และในบริเวณภาคกลางของประเทศ ได้แก่ เมืองพิณ เมืองนอง เมืองอ่างคำ เมืองพะลาน เมืองตะโปน เมืองน้ำ เมืองบก เมืองสูง เมืองคำเกิด คำม่วน และสะหวันนะเขตเป็นต้น 1.2 มูลเหตุของการอพยพเข้ามาบริเวณแอ่งสกลนคร พบว่าไทโส้ได้อพยพจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงข้ามมายังฝั่งขวาแม่น้ำโขง และมาตั้งถิ่นฐานในบริเวณแอ่งสกลนครในจังหวัดสกลนคร นครพนมและ มุกดาหาร โดยมีมูลเหตุของการอพยพ ดังนี้ 1.2.1 นโยบายของราชสำนักกรุงเทพฯในการกวาดต้อนผู้คนจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 (พ.ศ. 2371) สาเหตุของการกวาดต้อนผู้คนจากเมืองมหาชัยกองแก้วและเมืองใกล้เคียงเข้ามายังดินแดนไทยในปี พ.ศ. 2371 สืบเนื่องมาจากรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้กองทัพไทยยกกองทัพมาปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ แห่งอาณาจักรเวียงจันทน์ เจ้าอนุวงศ์หลบหนีมาอยู่ที่เมืองมหาชัยกองแก้ว เมื่อกองทัพไทยยกกองทัพมาตีเมืองมหาชัยกองแก้วเจ้าอนุวงศ์และเจ้าจุลนีพร้อมด้วยญาติพี่น้องจำนวนหนึ่งก็พากันหลบหนีไปทางเมืองเซ เมืองกะปอมและไปอาศัยอยู่ในเขตแดนของประเทศเวียดนาม และได้ขอกำลังจากเวียดนามเข้าช่วยแย่งชิงเมืองมหาชัยกองแก้วจากกองทัพไทยคืนและภายหลังไทยก็ยกกองทัพไปยึดเมืองมหาชัยกองแก้วคืนจากเวียดนามได้อีกครั้ง จากพฤติกรรมของเจ้าจุลนีแห่งเมืองมหาชัยกองแก้วที่ฝักใฝ่ต่อเวียดนามจึงส่งผลให้ไทยดำเนินนโยบายกวาดต้อนราษฎรในเมืองมหาชัยกองแก้วซึ่งมีจำนวนมาก ทั้งที่เป็นราษฎรลาว กะเลิง ข่า เข้ามาไว้ในดินแดนไทยด้วย 1.2.2 นโยบายการกวาดต้อนครัวเรือนราษฎรฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงในระหว่างพ.ศ. 2376-2388เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างไทยกับเวียดนามกรณีการเปิดศึกแย่งชิงอิทธิพลในเขมร ไทยจึงมีนโยบายกวาดต้อนราษฎรหรือผู้คนจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเข้ามาไว้ยังดินแดนไทยเพราะไม่ต้องการที่จะให้ผู้คนเหล่านี้ไปเป็นกองกำลังของเวียดนามในการทำสงครามกับไทย โดยใช้วิธียกกองทัพไปตีและทำการกวาดต้อนผู้คนครอบครัวจากเมืองมหาชัย เมืองพวน เมืองเชียงขวาง เมืองชุมพร เมืองพวง เมืองพะลาน เมืองเชียงคำ เมืองเชียงแมน เมืองกาย เมืองเชียงดี เมืองคำเกิด เมืองคำม่วน เมืองพร้าว เมืองหาว และเมืองวังรวม 15 เมืองซึ่งหัวเมืองเหล่านี้มีผู้คนหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่มีทั้งผู้ไทย กะเลิง โซ่ ญ้อ ข่า ไทลาวฯลฯมาไว้ที่เมืองนครราชสีมาและเมืองใกล้เคียงในบริเวณแอ่งสกลนคร 1.2.3นโยบายการเกลี้ยกล่อมครัวจากหัวเมืองฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงพบว่าไทยใช้วิธีการละมุนละม่อมด้วยการเกลี้ยกล่อมให้ครัวราษฎรจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้อพยพข้ามมายังฝั่งไทยด้วยความสมัครใจไม่มีการบีบบังคับซึ่งเป็นนโยบายที่ได้ผลดีโดยพบว่าผู้นำครัวเรือนในหัวเมืองฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำการชักชวนและรวบรวมราษฎรในหัวเมืองต่างๆจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงที่สมัครใจเดินทางอพยพข้ามฝั่งแม่น้ำโขงมายังดินแดนประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
1.3.ไทโส้ยุคก่อตั้งเมืองในแอ่งสกลนคร พบว่ามีกลุ่มไทโส้ตั้งถิ่นฐานในจังหวัดสกลนคร นครพนมและมุกดาหารดังนี้
1.3.1 กลุ่มไทโส้ในจังหวัดสกลนคร พบว่าอพยพมาจากเมืองวัง เมืองพิน เมืองนอง เมืองตะโปน และเมืองอูซึ่งอยู่ในเขตปกครองของแขวงพงสาลี ประกอบด้วยเมืองอู เมืองอูเหนือ เมืองอูใต้ เข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนในท้องที่อำเภอกุสุมาลย์ และอำเภอพรรณนานิคม การอพยพเข้ามา มีสาเหตุมาจากนโยบายการกวาดต้อนผู้คนจากเมืองมหาชัยกองแก้วและเมืองใกล้เคียงเข้ามายังดินแดนไทยในสมัยรัชกาลที่ 3 นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2371 เป็นต้นมา ปัจจุบันพบว่าในเมืองอูยังมีชาวโส้ที่ไม่ได้อพยพมาไทยอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากและยังมีความสัมพันธ์กับไทโส้ในจังหวัดสกลนคร
1.3.2 กลุ่มไทโส้ในจังหวัดนครพนม พบว่าเป็นพวกไทโส้ที่อพยพเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 3 ของกรุงรัตนโกสินทร์ ในระหว่างช่วง พ.ศ. 2385-2387 ซึ่งเป็นการกวาดต้อนเอาชาวโส้จากเมืองตะโปน และเมืองเชียงฮ่ม (ปัจจุบันอยู่ในแขวงสุวรรณเขต ของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) เข้ามาและให้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองรามราช ให้ขึ้นตรงต่อเมืองนครพนม (ปัจจุบันเมืองรามราชก็คือ ตำบลรามราช อยู่ในเขตอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม) ในปัจจุบันจะตั้งถิ่นฐานอยู่ในอำเภอท่าอุเทน อำเภอเมือง อำเภอศรีสงคราม อำเภอบ้านแพง อำเภอโพนสวรรค์ และบางส่วนของอำเภอนาแก
1.3.3 กลุ่มไทโส้ในจังหวัดมุกดาหาร มักนิยมเรียกว่าไทโซ่ พบว่าอพยพมาจากเมืองมหาชัยกองแก้วในแขวงคำม่วน และแขวงสุวรรณเขต มีเมืองวัง-อ่างคำ เมืองตะโปน หรือเซโปน ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อพยพข้ามแม่น้ำโขงที่บริเวณแก่งกะเบาซึ่งห่างจากอำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหารในปัจจุบัน พากันกระจายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ทั่วไปในเขตอำเภอดงหลวง อำเภอนิคมคำสร้อย อำเภอคำชะอี อำเภอดอนตาล และอำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร อพยพเข้ามาโดยความสมัครใจไม่ได้ถูกบังคับหรือกวาดต้อน เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 2 ปีพ.ศ. 2359 มูลเหตุการอพยพอ้างว่ามาตามคำสั่งของแถนที่เชื่อว่าหากย้ายหนีจากเมืองตะโปนซึ่งเป็นถิ่นดั้งเดิมในขณะนั้นกำลังจะเกิดกลียุคหากย้ายไปอยู่ยังดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ในบริเวณเทือกเขาภูพานแล้วจะเจริญรุ่งเรืองในระยะแรกมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านเหล่า ตำบลหนองบัว อำเภอดงหลวง ในปัจจุบัน และพากันอพยพเข้ามาเรื่อยๆ จึงขยายที่ทำกินทำให้กระจัดกระจายอาศัยอยู่ตามตำบลหนองแดง ตำบลพังแดง ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เป็นต้น
- ด้านศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี คติความเชื่อและวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ไทโส้ในแอ่งสกลนคร ผลการวิจัยพบว่า
2.1 ด้านศิลปวัฒนธรรมพบว่าชาวไทโส้ มีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์เฉพาะของตนเอง เช่น การละเล่นพื้นบ้าน การเล่นโส้ทั้งบั้ง การเล่นรำลายกลอง การแต่งกายและมีภาษาพูดของตนเอง
2.2 ด้านขนบธรรมเนียมประเพณี พบว่าชาวไทโส้มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทโส้ให้เกิดความรัก ความผูกผันและสามัคคีกัน เช่น พิธีกรรมการเหยา เลี้ยงผีประจำปี เหยาเลี้ยงผีมูล เหยาเลี้ยงผีน้ำ พิธีกรรมการเหยาเรียกขวัญ เหยารักษาคนป่วย เหยาแก้บน ส่วนในด้านประเพณี ได้แก่ ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด การแต่งงาน การตาย และประเพณีอื่นๆ
2.3 ด้านความเชื่อ พบว่าชาวไทโส้ จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งเหนือธรรมชาติ มีความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณ ภูตปีศาจ ไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถา และมีความศรัทธาในการทำบุญควบคู่กับการนับถือผีประเภทต่างๆและศรัทธาในการประกอบพิธีกรรมจนกลายมาเป็นแบบอย่างของการดำเนินชีวิตในปัจจุบันของไทโส้ในแอ่งสกลนคร
Article Details
บทความทุกบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ถือว่าเป็นลิขสิทธิ์ของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร