ปัญหาตามกฎหมายความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ศึกษากรณีการใช้สิทธิที่จะเรียกให้เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย
คำสำคัญ:
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่, เจ้าหน้าที่, การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน, สิทธิไล่เบี้ยบทคัดย่อ
พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 9 วางหลักว่า ถ้าหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย สิทธิที่จะเรียกให้อีกฝ่ายหนึ่งชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตน ให้มีกำหนดอายุความหนึ่งปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นแก่ผู้เสียหายหากปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ได้ลาออก หรือเกษียณอายุราชการ หรือพ้นสภาพจากการเป็นเจ้าหน้าที่ไปก่อนที่จะมีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายหรือการใช้สิทธิไล่เบี้ยดังกล่าว ทำให้ไม่มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่อีกต่อไป วิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ คือ (1) ศึกษาความเป็นมาและความสำคัญของกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทน รวมถึงการใช้สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนคืนจากเจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิด (2) ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ รวมถึงหลักความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ข้อความคิดพื้นฐานตามกฎหมายความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ (3) ศึกษากฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ และอายุความเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดกฎหมายไทย (4) พิจารณาและศึกษาหลักการสำคัญเกี่ยวกับกฎหมายความรับผิดทางละเมิด หลักเกณฑ์สำคัญเกี่ยวกับการใช้สิทธิไล่เบี้ย กรณีการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ และการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย (5) วิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับความเป็นเจ้าหน้าที่และการใช้สิทธิที่จะเรียกให้เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย (6) เสนอแนะเพื่อหาแนวทางของกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาทางกฎหมาย ในกรณีเกี่ยวกับการใช้สิทธิที่จะเรียกให้เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายให้เกิดความถูกต้อง เหมาะสม เป็นธรรม ทั้งนี้ เพื่อให้มีการกำหนดหน่วยงานของรัฐสามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยเจ้าหน้าที่ ผู้ที่ไม่มีสถานะในหน่วยงานของรัฐไว้ชัดเจน
ผลการศึกษาการวิจัยในครั้งนี้ พบว่า พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 9 มีความมุ่งหมายที่จะให้ผู้เสียหายได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เกิดการเยียวยาแก่ผู้เสียหาย แต่การใช้สิทธิของหน่วยงานของรัฐเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชำระค่าสินไหมทดแทนคืนแก่หน่วยงานของรัฐนั้น อาจเป็นการใช้สิทธิไล่เบี้ยในกรณีที่เจ้าหน้าที่ลาออก การเกษียณอายุราชการ การพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ หรือการที่เจ้าหน้าที่นั้นไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ ในขณะที่มีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย หรือจะมีการใช้สิทธิไล่เบี้ยดังกล่าว ไม่ได้มีผลกระทบต่อการใช้สิทธิเรียกให้มีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวคืนแก่หน่วยงานของรัฐหรือบุคคลที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่แต่ประการใด ซึ่งกฎหมายมิได้กำหนดเกี่ยวกับการใช้สิทธิไล่เบี้ยหน่วยงานของรัฐ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่นั้นไม่ได้ดำรงตำแหน่งหรือไม่มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการพ้นจากตำแหน่งโดยการลาออก หรือการเกษียณอายุราชการหรือเป็นผลมาจากการดำเนินการทางวินัยไว้อย่างชัดเจน
ข้อเสนอแนะการแก้ไขปัญหาการใช้สิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคืนจากเจ้าหน้าที่ (สิทธิไล่เบี้ย) ตามมาตรา 9 ระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเจ้าหน้าที่ในกรณีที่มีปัญหาว่า หากเจ้าหน้าที่ได้ลาออกหรือเกษียณอายุราชการ หรือพ้นสภาพจากการเป็นเจ้าหน้าที่ไปก่อนที่จะมีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายหรือการใช้สิทธิไล่เบี้ยดังกล่าว ซึ่งทำให้ไม่มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่อีกต่อไป การใช้สิทธิไล่เบี้ยจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ อย่างไร ในกรณีนี้ จึงควรเพิ่มเติมบทบัญญัติมาตรา 9 วรรคสอง โดยบัญญัติเพิ่มเติมว่า การใช้สิทธิตามวรรคหนึ่งไม่มีผลกระทบต่อกรณีที่เจ้าหน้าที่นั้นไม่ได้ดำรงตำแหน่งหรือไม่มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการพ้นจากตำแหน่งโดยการลาออก การเกษียณอายุราชการ หรือเป็นผลมาจากการดำเนินการทางวินัย หากมีการเพิ่มเติมบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว อาจแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ และสามารถแก้ไขปัญหาการใช้สิทธิที่จะเรียกให้เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย เพื่อให้สามารถใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง เป็นธรรม และสอดคล้องกับกฎหมายความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
เอกสารอ้างอิง
ชูชาติ อัศวโรจน์. (2555). คำอธิบายพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (พิมพ์ครั้งที่ 2). เดือนตุลา.
ตรีเพชร์ จิตรมหึมา, พัชฌา จิตรมหึมา และณัฐภณ อันชัน. (2564). ปัญหาความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ศึกษาและพิเคราะห์การแยกความรับผิดทางละเมิด กรณีการปฏิบัติหน้าที่กับกรณีที่มิใช่การปฏิบัติหน้าที่. วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย, 16(57), 54-64.
พัชฌา จิตรมหึมา. (2567). ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่: ศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดและนิติวิธีที่เกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ในต่างประเทศ. วารสารกฎหมายปกครอง, 36(3), 1-69.
เพ็ง เพ็งนิติ. (2552). คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง (พิมพ์ครั้งที่ 6). จิรรัชการพิมพ์.
มนัส แจ่มเวหา. (2551). การพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่. วิทยาลัยการยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม.
เรณุมาศ สุวรรณศรี. (2563). ปัญหาความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ศึกษากรณีการดำเนินคดีล้มละลายกับเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่สามารถชำระหนี้ได้เนื่องจากได้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หรือกระทำการใดอันเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง. [วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยศรีปทุม.
อำพน เจริญชีวินทร์. (2546). ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐ. (พิมพ์ครั้งที่ 3). นิติธรรม.
Dupuis, Georges, Guédon, Marie-José, & Chrétien, Patrice. (2007). Droit administratif, 7e édition, Armand Colin.
Pontier, Jean-Marie. (2007). Liberté d’opinion, liberté de croyance et dereligion, laïcité, in Protection des libertés et droits fondamentaux, sous la direction de Thierry S. Renoux, la Documentation française.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารสังคมศาสตร์ นิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด
ความคิดเห็นในบทความและงานเขียน ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารฉบับนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้ประพันธ์โดยอิสระ กองบรรณาธิการ วารสารสังคมศาสตร์ นิติรัฐศาสตร์ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป หากท่านประสงค์จะนำบทความหรืองานเขียนเล่มนี้ไปตีพิมพ์เผยแพร่ จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ประพันธ์ตามกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์
