การศึกษาความสามารถด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้ วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
Main Article Content
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง 2) เปรียบเทียบความสามารถด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีสอนตอบสนองด้วยท่าทาง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนบ้านบางใหญ่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้การฟังและการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง จำนวน 18 แผนการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการฟังภาษาอังกฤษ มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.30 - 0.77 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.27 - 0.67 และค่าความเชื่อมั่น 0.84 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.33 - 0.77 ค่าอำนาจจำแนก ระหว่าง 0.33 - 0.60 และค่าความเชื่อมั่น 0.84 และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง มีค่าความเชื่อมั่น 0.72 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และสถิติทดสอบได้แก่ สถิติทดสอบที
ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางมีความสัมพันธ์กันระดับมากในเชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักเรียน ที่ได้รับการสอนโดยใช้วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง มีความสามารถด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียน มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางในภาพรวมอยู่ในระดับมาก
A STUDY OF ENGLISH LISTENING AND SPEAKING ABILITIES BY USING TOTAL PHYSICAL RESPONSE METHOD FOR PRATHOMSUKSA III STUDENTS.
abstract unavailable