การเสริมสร้างความพึงพอใจในชีวิตสมรสด้วยโปรแกรมการปรึกษาคู่สมรสเชิงบูรณาการโดยใช้ทฤษฎีกลยุทธ์เป็นฐาน

Main Article Content

อารีย์ กุศล
เพ็ญนภา กุลนภาดล
วรากร ทรัพย์วิระปกรณ์

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มี 2 ระยะ ระยะที่ 1 เพื่อพัฒนาแบบวัดความพึงพอใจในชีวิตสมรส และหาเกณฑ์ปกติของแบบวัดความพึงพอใจ
ในชีวิตสมรส ระยะที่ 2 เพื่อพัฒนาโปรแกรมการปรึกษาคู่สมรสเชิงบูรณาการโดยใช้ทฤษฎีกลยุทธ์เป็นฐานเพื่อเสริมสร้างความพึงพอใจในชีวิตสมรส และศึกษาผลของโปรแกรมการปรึกษาคู่สมรสเชิงบูรณาการโดยใช้ทฤษฎีกลยุทธ์เป็นฐาน เป็นการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการศึกษา คือ คู่สมรสที่ได้ทำการจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย และใช้ชีวิตสมรสร่วมกันมากกว่า 4 ปี ขึ้นไป และมีคะแนน ความพึงพอใจในชีวิตสมรสต่ำกว่าเกณฑ์ปกติในระดับปานกลางลงมาทั้งคู่ คือ มีคะแนนความพึงพอใจในชีวิตสมรสต่ำกว่า 141 คะแนน (คะแนนเต็ม 200 คะแนน) คัดเลือกเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 10 คู่ และ กลุ่มควบคุม จำนวน 10 คู่ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบวัดความพึงพอใจ ในชีวิตสมรสและโปรแกรมการปรึกษาคู่สมรสเชิงบูรณาการโดยใช้ทฤษฎีกลยุทธ์เป็นฐาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์ความแปรปรวน สองทางแบบวัดซ้ำ (Two-way repeated measures ANOVA)ผลการวิจัยพบว่า1) แบบวัดความพึงพอใจในชีวิตสมรสที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีจำนวน 40 ข้อ ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) เท่ากับ .942) เกณฑ์ปกติของแบบวัดความพึงพอใจในชีวิตสมรสในรูปคะแนนทีปกติ (Normalized T-score) ได้แก่ ระดับความพึงพอใจในชีวิตสมรสน้อยที่สุด มีคะแนนน้อยกว่า 109 คะแนน ระดับน้อย 109-140 คะแนน ระดับปานกลาง 141-171 คะแนน ระดับมาก 172-189 คะแนน และระดับมากที่สุด มีคะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 190 คะแนน3) โปรแกรมการปรึกษาคู่สมรสเชิงบูรณาการโดยใช้ทฤษฎีกลยุทธ์เป็นฐาน มีทั้งหมด 10 ครั้ง ครั้งละ 60-90 นาที4) คู่สมรสที่ได้รับการปรึกษาด้วยโปรแกรมการปรึกษาคู่สมรสเชิงบูรณาการโดยใช้ทฤษฎีกลยุทธ์เป็นฐาน มีความพึงพอใจในชีวิตสมรสสูงกว่าคู่สมรสกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ5) คู่สมรสที่ได้รับการปรึกษาด้วยโปรแกรมการปรึกษาคู่สมรสเชิงบูรณาการโดยใช้ทฤษฎีกลยุทธ์เป็นฐาน มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจในชีวิตสมรสในระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผล สูงขึ้นกว่าระยะก่อนการทดลองอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 

Article Details

How to Cite
กุศล อ., กุลนภาดล เ., & ทรัพย์วิระปกรณ์ ว. (2023). การเสริมสร้างความพึงพอใจในชีวิตสมรสด้วยโปรแกรมการปรึกษาคู่สมรสเชิงบูรณาการโดยใช้ทฤษฎีกลยุทธ์เป็นฐาน. วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร, 6(1), 91–105. https://doi.org/10.14456/issc.2023.9
บท
บทความวิจัย

References

กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย. (2563, 30 มิถุนายน). สถิติการสมรสและการหย่าร้างในรอบ 10 ปี ของประเทศไทย. http://themomentum.co/momentum-feature-divorce-not-fail.

กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว. (2559). นโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2560-2564.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์.

กอบกูน พิชัยณรงค์. (2557). ความเท่าเทียมในบทบาททางเพศ การสื่อสารในครอบครัว และความพึงพอใจชีวิตสมรสของอาสาสมัครสาธารณสุขอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี. [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

ธิรดา สุวัณณะศรี. (2559). การศึกษาและพัฒนาความสุขในชีวิตสมรสด้วยรูปแบบการให้คำปรึกษาคู่สมรสแบบบูรณาการ. [วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

นิศากร เจริญดี. (2561). การพัฒนามาตรวัดความสุขในการเรียนของนักเรียนอาชีวศึกษา. [วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต ไม่ได้ ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยบูรพา.

ผ่องพรรณ เกิดพิทักษ์. (2554). ทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการให้การปรึกษาครอบครัว. โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.

เพ็ญนภา กุลนภาดล. (2560). การปรึกษาครอบครัว. (พิมพ์ครั้งที่ 2). แฮมคอมพิว ออฟเซท.

รพีพงค์ ยังวราสวัสดิ์. (2558). รูปแบบการให้การปรึกษาครอบครัวแบบบูรณาการเพื่อเสริมสร้างความสำเร็จในชีวิตสมรสของคู่สมรส. วารสารวิจัยทางการศึกษา, 10(1), 130-145.

ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. (2553). เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 11). สุวีริยาสาส์น.

วิไลวรรณ รังสร้อย. (2559). ความสัมพันธ์ระหว่างความซื่อสัตย์กับความพึงพอใจในชีวิตสมรสของบุคลากรมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย. [วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.

สุวิมล ติรกานันท์. (2553). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์: แนวทางสู่การปฏิบัติ. โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

อุมาพร ตรังคสมบัติ. (2556). คู่มือจิตบำบัดและการให้คำปรึกษาแนว Humanistic-Existential-Experiential. ซันต้าการพิมพ์.

Cronbach, L. J. (1990). Essentials of psychological testing (5th ed.). Harper Collins Publishers.

Corey, G. (2015). Theory and practice of counseling and psychotherapy (9th ed.). Calif: BrooksCole.

Goldenberg, L., & Goldenberg, H. (2008). Family therapy: An overview (7th ed.).Brooks/ Cole-Thomson Learning

Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activi – ties. Educational and Psychological Mea – surement, 30(2), 607-610.

Lebow, Richard Ned. (2003). The Tragic Vision of Politics. Cambridge: Cambridge University Press.

McNabb, D. E. (2008). Research Methods in Public Administration and Nonprofit Management: Quantitative and Qualitative Approaches. M.E. Sharpe.

Moore, D. (1983). Prepares Children and Marital Satisfaction During the Antepartum And Postpartum Periods. Nursing Research, 32(3), 73-79.

Tavakon, Nasrabadi, Moghadam, Salehiniya & Rezaei. (2017). The Factors Associated with Marital Satisfaction. Galen Medical Journal, 24(1), 197-207.