นวัตกรรมดิจิทัลเทคโนโลยีการประเมินความเสี่ยงการชำรุดของหม้อแปลง โดยใช้ดัชนีสุขภาพของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อนำเสนอนวัตกรรมการประเมินความเสี่ยงการชำรุดของหม้อแปลงไฟฟ้าโดยใช้ดัชนีสุขภาพของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาบ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลเป็นกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 29 คน ประกอบด้วยการสัมภาษณ์ จำนวน 17 คน และการสนทนากลุ่ม 12 คน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ เพื่อทำการจัดระบบระเบียบของข้อมูล กำหนดรหัสข้อมูล จัดกลุ่มข้อมูล และหาความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างกลุ่มข้อมูลที่ได้เพื่อสร้างบทสรุปของข้อมูล ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยความเสี่ยง 10 ประการที่ส่งผลต่อการชำรุดของหม้อแปลงไฟฟ้า ได้แก่ 1) อายุการใช้งาน โดยเฉพาะหม้อแปลงที่มีอายุเกิน 15 ปี 2) สภาพการใช้งานเกินพิกัด ทำให้อุณหภูมิสูงเกิน 95°C 3) สภาพแวดล้อมที่เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมและอากาศร้อนชื้น 4) คุณภาพไฟฟ้าที่มีปัญหาจากแรงดันเกินและฮาร์มอนิกสูง 5) ข้อจำกัดในการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน 6) การติดตั้งที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน 7) ภัยธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำท่วมและฟ้าผ่า 8) คุณภาพวัสดุและการผลิตที่แตกต่างกัน 9) การกระทำของมนุษย์ เช่น การลักขโมย และ 10) ระบบป้องกันที่ไม่สมบูรณ์ นวัตกรรมประเมินความเสี่ยงได้บูรณาการ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ระบบการจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ 2) วงจรการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และ 3) นวัตกรรมดัชนีสุขภาพหม้อแปลง สำหรับดัชนีสุขภาพหม้อแปลงได้พัฒนาเป็นระบบดิจิทัลอัจฉริยะที่บูรณาการเทคโนโลยี AI, IoT และ Machine Learning ทำงานแบบ Real-time เพื่อสนับสนุนการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ชุมชน สิ่งแวดล้อม องค์ความรู้ และนวัตกรรม ผลลัพธ์สุดท้ายคือ Risk Assessment Model ที่มีความแม่นยำ สอดคล้องกับบริบท และสามารถตอบสนองเป้าหมายของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในด้านความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและคุณค่าต่อสาธารณะ
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค. (2567). วิสัยทัศน์ ภารกิจ และค่านิยมของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค. สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2568, จาก https://www.pea.co.th/About-PEA/Mission-and-Vision
กิตติเมศร์ กรพัฒนาสวัสดิ์ และ นาวิน พรมใจสา (2566). ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการเชิงบูรณาการ งานระบบไฟฟ้าและสื่อสารเคเบิลใต้ดินระหว่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย. วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น, 9(4), 87-99.
วริศรา ขระเขื่อน (2564). การพยากรณ์ดัชนีสุขภาพของมอเตอร์เหนี่ยวนำแบบเรียลไทม์ในโรงงานปิโตรเคมีโดยใช้การเรียนรู้ของเครื่อง(วิทยานิพนธ์วิศกรรมศาสตรมหาบัณฑิต). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
นิศา ชูโต. (2548). การวิจัยเชิงคุณภาพ. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: พริ้นต์โพร.
ณัฐชัย รัตนคช และ เอกรินทร์ โพธิวัฒน์. (2555). ประเมินสภาพของหม้อแปลงไฟฟ้าชนิดน้ำมัน เพื่อนำไปสู่แผนการบำรุงรักษา(วิทยานิพนธ์วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศรีปทุม.
สุภางค์ จันทวานิช. (2554) วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ. (พิมพ์ครั้งที่ 19). กรุงเทพฯ: ด่านสุทธาการพิมพ์.
สุวิมล ติรกานันท์. (2557). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์: แนวทางสู่การปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
สุวรรณรัตน์ แนวหล้า และ สุวรรณี แสงมหาชัย (2562). การจัดการการใช้บริการภายนอกของรัฐวิสาหกิจ ด้านพลังงานไฟฟ้าของไทย: กรณี ศึกษาการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.). วารสารวิชาการธรรมทัศน์, 19(3), 203-214.
สันติ ไชยสีทา และ ธรรมวิมล สุขเสริม. (2565). การศึกษาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของส่วนงานด้านบำรุงรักษา การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 2 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จังหวัดอุบลราชธานี. Journal of Roi Kaensarn Academi, 7(5), 141-155
Amabile, T.M. (1998). How to Kill Creativity. Harvard Business Review, 76(9), 77-87.
Berelson, D. (1952). Content Analysis in Communicative Research. New York: The Free Press.
Good, G. V. (1973). Dictionary of Education. (3rd ed.). New York: MCcraw Hill.
Holsti, O.R. (1969). Content Analysis for the Social Sciences and Humanities. Massachusetts: Addison-Wesley.
Hatch, M. J. (1997). Organization Theory: Modern Symbolic and Postmodern Perspectives. (3rd ed.). New York: University Press.
Longman, C. (2009). Longman Dictionary of Contemporary English. London: Pearson Education.
Michael, H. M., Michael, A., & Khendouri, F. (1985). Management: Individual and Organizational Effectiveness. (2rd ed.). New York: Harper & Row.
Nadler, D.A. (1980). Role of Model in Organization Assessment. New Jersey: John Wiley & Son.
Sawadthaworn, P., Pawala, T., Kenaphoom, S., Jumroenpat, P., & Kaewlamai, S. (2025). The Hybrid Revolution: A New Chapter in Business Management. International Journal of Multidisciplinary in Management and Tourism, 9(1), 67–86.
Stoner, A. F., & Wankel, C. (1986). Management. (3rd ed.). New Jersey: Prentice-Hall.
Wolfe, R.A. (1994). Organizational innovation: Review, Critique and Suggested Research Directions. Journal of Management Studies, 31(3), 405-431.