การประสานเสียงทางเลือกโดยทฤษฎีแกนสมมาตรในการประพันธ์เพลง

Main Article Content

ธีรเดช แพร่คุณธรรม

บทคัดย่อ

เสียงดนตรีในระบบดนตรีแบบโทนาล เป็นระบบเสียงที่สังคมโลกต่างนิยมคุ้นเคยร่วมกันมาอย่างเนิ่นนานหลายต่อหลายปี เนื่องจากดนตรี คือ ศิลปะการเลียนแบบจากโลกภายนอกเพียงบางส่วนนำมาใช้ร่วมกับปัญญา ความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของผู้สร้างสรรค์ การเลียนสิ่งที่คุ้นเคยซึ่งเปลี่ยนมาเป็นความชินชา นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทำให้แนวคิดของศิลปินศตวรรษที่ 20 พยายามสร้างความโดดเด่นที่ต่างออกไปจากเดิม
โดยการนำเอาเทคนิค และวิธีการใหม่มาใช้กับการประพันธ์แนวทำนองของเขาในทุกมิติ ดังเช่น บทเพลง
ไม่สมมาตรที่เป็นการเคลื่อนที่ที่คาดเดาได้ยาก หรือ แม้กระทั่งไม่สามารถคาดเดาได้เป็นแนวความคิดในเรื่องศิลปะที่หมายถึงสิ่งใดก็ตามที่มีคุณสมบัติกระตุ้นให้เกิดอารมณ์สุนทรียะได้ สิ่งนั้นพิจารณาเป็นงานศิลปะ
โดยการหล่อหลอมหลักจิตวิทยาศิลปะ 3 หลัก คือ ทฤษฎีการเลียนแบบ (Theory of Representation) ทฤษฎีปลุกเร้า (Arousal Theory) การเข้าสู่วงจรโดพามีน (Dopamine) ด้วยการกระตุ้นความต้องการอยากค้นหา
ในสิ่งที่คาดเดาได้ยาก (Unexpected) ที่ช่วยเพิ่มพฤติกรรมการมุ่งสู่เป้าหมายให้มากขึ้นกว่าปกติ


          ด้วยระบบแกนสมมาตรเป็นระบบการสร้างเสียงประสานทางเลือก ของการประพันธ์บทเพลง
ในอนาคต หลักการของทฤษฎีแกนสมมาตรมีเทคนิคที่มีคุณสมบัติกระตุ้นให้เกิดอารมณ์สุนทรียะ เมื่อวิเคราะห์เป็นหลักวิธีการประพันธ์สามารถตั้งเป็นข้อสังเกตเบื้องต้นตอบเป็น 4 ประเด็น คือ 1) การนำแนวทางดนตรีศิลป์
ที่คุ้นเคยมาเป็นองค์ประกอบหลัก โดยพัฒนาจากโทนเสียงที่เป็นไปตามหน้าที่ของคอร์ด(Functional Tonality) ด้วยการขยายแนวคิดวิธีการประพันธ์แบบมุมมองทางอารมณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างกันของแกนคอร์ด
และวิธีการไดอะทอนิก มีเดียนท์ สอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีการเลียนแบบ 2) การนำแนวทางดนตรีศิลป์
โดยการนำประเภทของคอร์ด มาสร้างเป็นสิ่งเร้า ด้วยการเพิ่มหรือลดโน้ตนอกคอร์ดให้กับหน้าที่คอร์ดหลัก
ทั้ง 3 ประเภทหลักประกอบด้วย คอร์ดทอนิก คอร์ดซับดอมินันท์ และคอร์ดดอมินันท์ นำมาพัฒนาเป็นวิธีใช้หลักแกนสมมาตรของระบบเคาน์เตอร์โพล สอดคล้องกับแนวคิดของหลักทฤษฎีปลุกเร้า 3) การนำแนวทางดนตรีศิลป์ ที่คาดเดาได้ยากและเสริมความต้องการอยากค้นหามาเป็นหลักของแนวคิดโดยพัฒนาจากโทนเสียงที่ไม่เป็นไปตามหน้าที่ของคอร์ด (Non Functional Tonality) ขยายแนวคิดวิธีการประพันธ์เรื่องโครมาติกมีเดียนท์และการดำเนินคอร์ดแบบแบ็คดอร์ (Back Door Progression) สอดคล้องกับแนวคิดของวิธีการวงจรโดพามีน 4) ระบบแกนสมมาตร สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับดนตรีร่วมสมัยในอนาคต การสร้างสรรค์บทบาทใหม่ที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าในอนาคต การเพิ่มความซับซ้อนเชิงโครงสร้างและทฤษฎีแกนสมมาตรสามารถขยายขอบเขตความคิดด้วยการสร้างความแตกต่างจากความคุ้นเคย ด้วยการผสมแนวคิดจิตวิทยาศิลปะใน 3 หลักคือ ทฤษฎีการเลียนแบบ ทฤษฎีปลุกเร้า การสร้างวิธีการที่คาดเดาได้ยาก ผสานเข้ากับแนวคิดของทฤษฎีการประพันธ์ที่สอดคล้องกับการดำเนินของบทเพลง จะช่วยกระตุ้นความน่าสนใจให้กับบทเพลงสร้างสรรค์ในอนาคตต่อไป

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
แพร่คุณธรรม ธ. . (2025). การประสานเสียงทางเลือกโดยทฤษฎีแกนสมมาตรในการประพันธ์เพลง. วิพิธพัฒนศิลป์, 5(1), 112–124. สืบค้น จาก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/WIPIT/article/view/277797
ประเภทบทความ
บทความวิชาการ

เอกสารอ้างอิง

ณัชชา พันธุ์เจริญ. (2552). พจนานุกรมศัพท์ดุริยางคศิลป์ (พิมพ์ครั้งที่ 3). เกศกะรัต.

ปุณณรัตน์ พิชญไพบูลย์. (2561). จิตวิทยาศิลปะสุนทรียศาสตร์เชิงประจักษ์ (พิมพ์ครั้งที่ 2). โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น. (2558). ดนตรีศตวรรษที่ 20. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ราชบัณฑิตยสภา. (2561). พจนานุกรมดนตรีสากล. ศรีเมืองการพิมพ์.

วีรชาติ เปรมานนท์. (ม.ป.ป.). ปรัชญาและเทคนิคการแต่งเพลงร่วมสมัยไทย. คณะศิลปกรรมศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

Weinschenk, S. M. (2018). 100 things every designer needs to know about people [100 เคล็ดลับจิตวิทยาสำหรับคนที่อยากออกแบบให้เข้าถึงใจคน]. WeLearn.