การพัฒนากระบวนการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการสร้างเครื่องมือวิจัย ของนักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยรังสิต
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาและความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะการสร้างเครื่องมือวิจัยของนักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยรังสิต 2) พัฒนากระบวนการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการสร้างเครื่องมือวิจัย 3) ประเมินประสิทธิผล และ 4) สำรวจประสบการณ์และความคิดเห็นต่อกระบวนการฝึกอบรม กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาปริญญาโท สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยรังสิต ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 11 คน ซึ่งเป็นการศึกษาประชากรทั้งหมด เครื่องมือประกอบด้วยแบบสำรวจสภาพและความต้องการจำเป็น แบบตรวจสอบความเหมาะสม แบบประเมินสมรรถนะ (ก่อน-หลัง) และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก คุณภาพเครื่องมือได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาด้วยค่า IOC เท่ากับ 1.00 และแบบสำรวจกับแบบประเมินมีค่าความ เท่ากับ 0.95 และ 0.97 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นค่าระดับพัฒนาการ Normalized Gain (<g>) และการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) สมรรถนะการสร้างเครื่องมือวิจัยของนักศึกษาปริญญาโท โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.73, SD = 0.04) และมีความต้องการพัฒนาสูง (
= 4.16, SD = 0.02) โดยเฉพาะด้านการออกแบบเครื่องมือ (PNI = 0.16) และการเขียนรายงานผลวิจัย (PNI = 0.14) 2) กระบวนการฝึกอบรมมีความเหมาะสมมากที่สุด (
= 4.70, SD = 0.22) 3) หลังการอบรม นักศึกษาปริญญาโทมีสมรรถนะการสร้างเครื่องมือวิจัยดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (
= 4.77, SD = 0.07) และมีพัฒนาการระดับสูง (<g> อยู่ในช่วง 0.71-0.98) 4) นักศึกษาปริญญาโท มีประสบการณ์เชิงบวก จุดเด่นคือวิทยากรเชี่ยวชาญ การเน้นปฏิบัติจริง เนื้อหาครอบคลุม
ส่วนจุดด้อยคือเวลาจำกัด เนื้อหาแน่นเกินไป ข้อเสนอแนะคือเพิ่มเวลาและจัดอบรมระดับสูงขึ้น
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความทุกเรื่องได้รับการตรวจความถูกต้องทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ทรรศนะและข้อคิดเห็นในบทความ Journal of Global of Perspectives in Humanities and Social Sciences (J-GPHSS) มิใช่เป็นทรรศนะและความคิดของผู้จัดทำจึงมิใช่ความรับผิดชอบของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์การคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแหล่งที่มา
เอกสารอ้างอิง
American Educational Research Association (AERA). (2020). Standards for educational and psychological testing. American Educational Research Association.
Anastasi, A. (1988). Psychological testing. (6th ed.). Macmillan.
Bandura, A. (1977). Self-efficacy: Toward a unifying theory of behavioral change. Psychological Review. 84(2), 191-215.
Booth, W. C., Colomb, G. G. & Williams, J. M. (2016). The craft of research. (4th ed.). University of Chicago Press.
Gagné, R. M. (1985). The conditions of learning and theory of instruction. (4th ed.). Holt, Rinehart and Winston.
Hake, R. R. (1998). Interactive-engagement versus traditional methods: A six-thousand-student survey of mechanics test data for introductory physics courses. American Journal of Physics. 66(1), 64–74.
Hattie, J. & Timperley, H. (2007). The power of feedback. Review of Educational Research. 77(1), 81–112.
Kirkpatrick, D. L. & Kirkpatrick, J. D. (2006). Evaluating training programs: The four levels. (3rd ed.). Berrett-Koehler Publishers.
Kolb, D. A. (1984). Experiential learning: Experience as the source of learning and development. Prentice Hall.
Yipean, W. (2021). phon khō̜ng kān fưk ʻop rom tō̜ ʻakān raprū samatthana khō̜ng tonʻēng læ kān thāi ʻōn kānrīanrū nai ʻongkō̜n [Effects of training on self-perceived competence and learning transfer in organizations]. Journal of Health Systems Research and Development. 14(2), 153–163.