การเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากสื่ออินเทอร์เน็ตของสตรีมุสลิมที่อาศัยในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาลของอำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี

Main Article Content

ธนภัทร เต็มรัตนะกุล
ดวงกมล ชาติประเสริฐ

บทคัดย่อ

การศึกษาเรื่องนี้มุ่งวิเคราะห์และเปรียบเทียบการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากสื่ออินเทอร์เน็ตของสตรีมุสลิมที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาลของอำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี โดยใช้ “การวิจัยแบบผสมผสาน” (Mixed-Method Research) ที่ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างสตรีมุสลิมในเขตเทศบาลจำนวน 445 คน และนอกเขตเทศบาลจำนวน 427 คน และระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลด้วยการสนทนากลุ่ม (Focus group) ในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างสตรีมุสลิมในเขตเทศบาลจำนวน 5 คนและนอกเขตเทศบาลจำนวน 5 คน
ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างสตรีมุสลิมที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลจะมีข้อได้เปรียบเรื่องการเข้าถึงสื่ออินเทอร์เน็ตมากกว่ากลุ่มตัวอย่างสตรีมุสลิมที่อาศัยอยู่นอกเขตเทศบาล โดยเป็นข้อได้เปรียบเรื่องความรู้ในการใช้สื่ออินเทอร์เน็ต การใช้จ่ายเพื่อการใช้สื่ออินเทอร์เน็ต และการส่งเสริมทางสังมในเรื่องการใช้สื่ออินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ ยังทำให้พบแนวทางในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสื่ออินเทอร์เน็ตที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มตัวอย่างสตรีมุสลิม โดยในส่วนการเข้าถึงสื่ออินเทอร์เน็ตพบว่า กลุ่มตัวอย่างสตรีมุสลิมได้พิจารณาความพร้อมของตนเองตามลำดับต่อไปนี้ ได้แก่
1)การมีความจำเป็นในการใช้สื่ออินเทอร์เน็ต 2) การมีความรู้ในการใช้สื่ออินเทอร์เน็ต 3) การมีเวลาในการใชสื่ออินเทอร์เน็ต 4) การควบคุมตนเองในการใช้สื่ออินเทอร์เน็ต และ 5) การหาใช้สื่ออินเทอร์เน็ตได้ โดยพบว่าการเข้าถึงสื่ออินเทอร์เน็ตที่ถูกต้องและได้รับการยอมรับจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวอย่างเคร่งครัดและในส่วนของการใช้ประโยชน์โดยการนำเอาหลักศาสนาอิสลามมาประยุกต์ใช้ ซึ่งประกอบด้วยกลยุทธ์เชิงรุกที่นำเอาหลักการใช้ ซึ่งประกอบด้วยกลยุทธ์เชิงรุกที่นำเอาหลักการเรื่อง “หน้าที่ของสตรีมุสลิม” มาใช้ในการเลือกใช้ประโยชน์จากสื่ออินเทอร์เน็ต และหลักการเรื่อง “สิทธิของสตรีมุสลิม” มาใช้ในการสร้างทางเลือกใช้ประโยชน์จากสื่ออินเทอร์เน็ต และกลยุทธ์เชิงรับที่นำเอาหลักการเรื่อง “การปกป้องตนเองของสตรีมุสลิม” มาใช้ในการเลือกไม่ใช้ประโยชน์จากสื่ออินเทอร์เน็ต โดยพบว่าจุดมุ่งหมายของกลยุทธ์คือการทำให้สตรีมุสลิมเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือสื่อที่ตนเองเลือกใช้ มิใช้ให้สสื่อเป็นฝ่ายที่มีอำนาจเหนือสตรีมุสลิม

Article Details

ประเภทบทความ
Articles
ประวัติผู้แต่ง

ธนภัทร เต็มรัตนะกุล, คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ

ธนภัทร เต็มรัตนะกุล (ว.ม. (สื่อสารมวลชน), มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งอาจารย์ประจำโครงการจัดตั้งสาขาวิชานิเทศศษสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ และกำลังศึกษาต่อระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

ดวงกมล ชาติประเสริฐ, คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ดวงกมล ชาติประเสริฐ (Ph.D., University of Wisconsin – Madison, 1991) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เอกสารอ้างอิง

ภาษาไทย
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. 2553. รายงานสำรวยการมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือน (ออนไลน์). แหล่งที่มา: http://service.nso.go.th (2554, กันยายน 10)

ภาษาอังกฤษ
Campbell, H. When Religion Meet New Media. New York. Routledge, 2010.
Edgleton, Mary. A Concise Companion to Feminist Theory. United Kingdom: Blackwell., 2003.
International Center for Research on Women. Bridging the Gender Divide. (online). 2010. Available from: http://www.icrw.org/files/publications/Bridging-the-Gender-Divide-How-Technology-can-Advance-Woman-Economically.pdf (2011, November)
Jones, N., Ladniak k., and O’Sullivan, P. Gender Issues on the Internet / Building the Virtual City: Suggestions for Shaping a Viable Cybesociety. (Online). 2009. Available from: http://socserv.mcmaster.ca/soc/courses/stpp4c03/ClassEssay/gender.htm (2011, October)
Klotz, R. The Politics of Internet Communication. USA: Rowman & Littlefield Publishers, Inc., 2004.
Larry McKeown. Factors Associated with Internet Use: Does Rurality Matter? Rural and Small Town Canada Analysis Bulletin Vol. 7, No. 3 (2007): 1-15.
Moghissi, H. Feminism and Islamic Fundamentalism. London: Zed Books, 1999.
Nayar, P. An Introduction to New Media and Cybercultures. Singapore: Ho printing Singapore, 2010.
Williams, R., and Edge, D. The Social Shaping of Technology. Research policy Vol.25 (1996): 856-899.