ปัจจัยการสื่อสารเพื่อพยากรณ์พฤติกรรมการอ่านของคนไทย
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยเรื่อง “ปัจจัยการสื่อสารเพื่อพยากรณ์พฤติกรรมการอ่านของคนไทย” มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) อธิบายผลลัพธ์ที่เกิดจากกิจกรรมการส่งเสริมการอ่านของภาคีเครือข่ายด้านการส่งเสริมการอ่าน(2) ศึกษาความถี่ในการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับการอ่านผ่านสื่อต่างๆ ทัศนคติต่อการอ่าน และพฤติกรรมการอ่านของคนไทย (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับการอ่านผ่านสื่อต่างๆ ที่เกี่ยวกับการอ่าน กับทัศนคติต่อการอ่าน และพฤติกรรมการอ่านของคนไทย และ (4) ศึกษาตัวแปรที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการพยากรณ์พฤติกรรมการอ่านของคนไทย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ได้แก่ (1) การวิจัยเชิงคุณภาพ และ (2) การวิจัยเชิงปริมาณโดยการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจากพื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลักดันให้เกิดข้อเสนอ ที่พร้อมขับเคลื่อนเป็นนครแห่งการอ่านนำร่อง และพร้อมผลักดันการอ่านเป็นวาระของจังหวัด ของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง
ผลการวิจัยแบ่งการนำเสนอออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ (1) ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ ผลลัพธ์ที่เกิดจากการอ่านในกลุ่มเยาวชนไทย พบว่า เยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการอ่านของภาคีเครือข่าย สามารถถ่ายทอดเรื่องราวจากหนังสือที่ตนเองอ่านในแง่มุมของเนื้อหาและคติสอนใจ บางส่วนผลการเรียนดีขึ้น ติดเกมน้อยลง ผู้ใหญ่สนใจหนังสือหลากหลายประเภทมากขึ้น ผู้สูงอายุบางท่านไปสมัครเรียนการศึกษานอกระบบ เพื่อต้องการอ่านหนังสือได้ ส่วน (2) ผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า ทัศนคติต่อการอ่าน และการเปิดรับข่าวสารผ่านสื่อใหม่ที่เกี่ยวกับการสร้างเสริมการอ่าน สามารถร่วมกันพยากรณ์การเกิดพฤติกรรมการอ่านของคนไทย
Article Details
เอกสารอ้างอิง
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้, สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)(2553). การศึกษาสถานการณ์การอ่านและดัชนีการอ่านของไทย ปี2553: การพัฒนาดัชนีการอ่านและการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อดัชนีการอ่าน (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: ม.ป.ท.
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้, สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (2554).นโยบายส่งเสริมการอ่านของประเทศไทย: ภาพรวม ปัญหาและแนวทางการพัฒนา. ใน การประชุมวิชาการ Thailand Conference on Reading 2011 (น. 1-28).กรุงเทพฯ: สำนักงานอุทยานการเรียนรู้.
สุดใจ พรหมเกิด. (2559). แผนงานยุทธศาสตร์ดำเนินงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน (รายงานฉบับสมบูรณ์). กรุงเทพฯ: แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน.
สุรพงษ์ โสธนะเสถียร. (2533). การสื่อสารกับสังคม. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท. (2554). การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจ(พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ภาษาอังกฤษ
Ajzen, I., & Fishbein, M. (1980). Understanding attitudes and predicting social behavior. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall.
Barker, M., Barker, D., & Bormann, N. (2013). Social media marketing: A strategicapproach. Australia: South-Western Cengage Learning.
Crawley, S. J. (1995). Strategies for guiding content reading. New York, NY: A Simon and Schuster, Inc.
Katz, D., & Kahn, R.L. (1978).The social psychology of organization(2nded.). New York, NY: John Wiley & Sons.
Day, R. R. (2015). Extending extensive reading.Reading in a Foreign Language, 27(2), 294-301.
Malikhao, P. (2016). Effective health communication for sustainable development.Hauppauge, NY: Nova Science Publishers, Inc.
Prasad, K. (2009). Communication for development: Reinventing theory and action, Vol. 1-Understanding communication. Delhi: B.R. Publishing Corporation.
Rogers, E. M. (2003). Diffusion of innovations (5th ed.). New York, NY: Free Press.
Schwartz, N. E. (1975). Nutrition knowledge, attitude, and practice of high school graduate. Journal of the American Dietetic Association, 66(1), 28-31.
Schooten, E.V., Glopper, K., &Stoel, R.D. (2004). Development of attitude toward reading adolescent literature and literary reading behavior. Poetics, 32, 343-386.
Schramm, W. L. (1973). Channels and audiences.In Ithiel de Sola.Pool, W. Schramm, F. S.
Frederick, M. Maccoby & E. B. Parker (Eds.), Handbook of communication (pp. 126-135).
Chicago: Rand McNally.
Stokmans, M.W. (1999). Reading attitude and its effect on leisure time reading.Poetics, 26, 245
261.