การพัฒนาโมเดลการสอนนาฏศิลป์ไทยตามแนวคิดสะตีม สำหรับโรงเรียนวิทยาศาสตร์
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาโมเดลการสอนนาฏศิลป์ไทยตามแนวคิดสะตีม และ 2) เพื่อศึกษาผลการใช้โมเดลที่ส่งเสริมคุณลักษณะด้านความรู้ ทักษะ และทัศนคติของผู้เรียน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนกำเนิดวิทย์ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ เอกสาร การสัมภาษณ์ แบบสอบถาม การสังเกตการณ์ การทดลอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติพื้นฐานค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าความเชื่อมั่น และความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า
1) รูปแบบโมเดลการสอนนาฏศิลป์ตามแนวคิดสะตีม สำหรับโรงเรียนวิทยาศาสตร์ ที่มุ่งบูรณาการเนื้อหาในวิชานาฏศิลป์ อันได้แก่ การปฏิบัตินาฏศิลป์ไทย ประวัติศาสตร์นาฏศิลป์ไทย สุนทรียศาสตร์ทางนาฏศิลป์ไทย การวิจารณ์ผลงานทางด้านนาฏศิลป์ไทย กับการกระบวนการและใช้วิธีการเรียนรู้แบบองค์รวมตามแนวคิด STEAM สามารถจัดการเรียนรู้ได้ทั้งหมด 6 ระยะ ได้แก่ ค้นหาปัญหา ค้นหาองค์ประกอบของปัญหา ค้นหาแนวทางการแก้ปัญหาใหม่ ๆ ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา นำเสนอและรับฟังข้อเสนอแนะ พัฒนางานตามข้อเสนอแนะ ได้ผลวัดความเที่ยงตรงจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน พบว่า มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย เครื่องมือมีค่าความเที่ยงตรง สามารถนำไปใช้ได้
2) ผลการใช้โมเดลการสอนนาฏศิลป์ไทยตามแนวคิดสะตีมที่ส่งเสริมคุณลักษณะด้านวามรู้ ทักษะและทัศนคติ ของผู้เรียน พบว่า คุณลักษณะด้านทัศนคติ ได้ค่าเฉลี่ยคะแนนสูงสุด คุณลักษณะด้านทักษะ ได้ค่าเฉลี่ยคะแนนปานกลาง คุณลักษณะด้านความรู้ ได้ค่าเฉลี่ยคะแนนต่ำสุด แต่ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนแต่ละกลุ่มค่อนข้างต่ำ หมายถึง การกระจายตัวของคะแนนค่อนข้างน้อย ทุกกลุ่มมีผลวัดและประเมินใกล้เคียงกัน
Article Details
อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารศิลปการจัดการ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ ยินยอมว่าบทความเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารศิลปการจัดการ
เอกสารอ้างอิง
Dachakupt, P., & Yindeesuk, P. (2017). Learning management in 21st century. Chulalongkorn University.
Erba, M. D. (2019). Preparing students for learning, work and life through STEAM education. https://files.eric.ed.gov/fulltext/ED598088.pdf.
Henriksen, D. (2014). Full STEAM ahead: creativity in excellent STEM teaching practices. The STEAM Journal, 1(2), 1-6.
IAS Team. (2019). 6 steps to creating a STEAM classroom. https://artsintegration.com/2016/02/25/ 6-steps-to-creating-a-steam-centered-classroom/.
Khammani, T. (2017). A variety of methods for learning management. Wattana Panich.
Lubpailee, M. (2006). Introduction to smart children and children with special abilities. Chulalongkorn University.
Orapiriyakul, S. (2019). STEAM EDUCATION: innovative education integrated into learning management. Journal of Research and Curriculum Development, 9(1), 1-16.
Phonnong, I., & Keeratichamroen, W. (2021). developing instructional model based on STEAM education for enhancing creative thinking skill of students in small elementary schools. Ratchaphruek Journal, 19(3), 19-129.
Poomsoong, P., & Nuangchalerm, P. (2021). Development design thinking of Mathayomsuksa 4 students by using STEAM education. Journal of Educational Administration and Supervision Mahasarakham University, 12(3), 204-215.
Tavener, D. (2021). Prepared. Bookscape.
University of Findlay. (n.d.). Master of Arts in Education degree with an emphasis in STEAM instruction. https://www.findlay.edu/education/graduate-programs/mae-steam.
University of Pittsburgh. (n.d.). STEAM Certificate. https://pittprofessional.catalog.instructure.com /courses/steam-education.
University of San Diego. (n.d.). Specializations & Curriculum. https://onlinedegrees.sandiego.edu /masters-education/specializations.
Wagner, T. (2018). Creating Innovator. Bookscape.
Wang, L. H., Chen, B., Hwang, G. J., Guan, J. Q., & Wang, Y. Q. (2022). Effects of digital game-based STEM education on students’ learning achievement: A meta-analysis. International Journal of STEM Education, 9(26), https://doi.org/10.1186/s40594-022-00344-0.
