การศึกษาทักษะการเขียน โดยใช้ SECI Model ในรายวิชาภาษาอังกฤษ ระดับชั้นมัธยมศึกษา

Main Article Content

บุษราภรณ์ อินทร์แสน

บทคัดย่อ

          การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยในชั้นเรียน (Action Research) โดยใช้รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ เปรียบเทียบทักษะการเขียนหลังใช้ SECI Model ในรายวิชาภาษาอังกฤษกับเกณฑ์ร้อยละ 60 โดยใช้สถิติ t-test แบบ One sample ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ฝ่ายมัธยม) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 238 คน ที่ลงทะเบียนเรียนภาษาอังกฤษรายวิชา อ32102 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ฝ่ายมัธยม) จำนวน 4 ห้องเรียน รวมนักเรียนทั้งสิ้น 80 คน ที่ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้การสอนเขียนด้วยวิธี SECI Model และแบบทดสอบความสามารถด้านการเขียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นแบบอัตนัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ
          ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถด้านการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังการสอนเขียนด้วยวิธี SECI Model สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กระบวนการสร้างความรู้ SECI ทั้ง 4 ขั้นตอน คือ 1) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Socialization) 2) การสกัดความรู้ฝังลึกเป็นความรู้ชัดแจ้ง (Externalization) 3) การรวมความรู้โดยจัดเก็บความรู้ชัดแจ้งอย่างเป็นระบบ (Combination) และ 4) การนำความรู้ชัดแจ้งนั้นมาปฏิบัติ (Internalization) ทำให้นักเรียนมีพัฒนาการการเขียนภาษาอังกฤษดีขึ้น โดยนักเรียนสามารถเขียนคำ ประโยคและเรียงความได้เป็นขั้นตอนจากการเรียนรู้ตามรูปแบบ SECI Model การจัดกิจกรรมการเขียนเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน นักเรียนมีโอกาสได้คิด ทำงานร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บรรยากาศในการเรียนรู้เป็นไปอย่างผ่อนคลาย สามารถคิดได้อย่างอิสระ จึงส่งผลให้หลังการสอนด้วยวิธี SECI Model นักเรียนมีความสามารถด้านการเขียนสูงขึ้น

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
อินทร์แสน บ. (2023). การศึกษาทักษะการเขียน โดยใช้ SECI Model ในรายวิชาภาษาอังกฤษ ระดับชั้นมัธยมศึกษา. Journal of Roi Kaensarn Academi, 8(8), 328–338. สืบค้น จาก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/262392
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน. พุทธศักราช 2551. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย

ไพโรจน์ ชลารักษ์. (2551). การจัดการความรู้ : สังกัปทางทฤษฎี. นครปฐม : เพชรเกษม พริ้นติ้ง กรุ๊ป.

สุจิตรา สิงหการ. (2555). เทคนิคการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 5 (1). 164-165.

เสาวภาคย์ ศรีโยธา. (2555). ปัญหาการเรียนภาษาอังกฤษระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 1. สารนิพนธ์ศิลปศาสตรมหา บัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษานานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, สงขลา, 2-3.

อธิปไตย โพแตง และ ชัยฤทธิ์โพธิสุวรรณ. (2559). การสะสมความรู้ในตัวคนเพื่อพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติงานของแรงงานในสถานประกอบการ. วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. 26 (2) , 299-307.

Bennui, P. (2008). A study of L1 interference in the writing of Thai EFL students. Malaysian Journal of ELT Research. 4 (2), 72-102.

Harshim, Y. (1999). Is instruction design being use in module writing? British Journal of Education technology. 30 (4), 141-158.

Louie, A. C. (1944). Improving Composition for Secondary ESL Students through the Precess Approach Dissertation, Thesis (Education). San Francisco: San Francisco University. Photocopied. 86-90.

Muthuveloo, R., Shanmugam, N. and Teoh, A. P. (2017). The impact of tacit knowledge management on organizational performance: Evidence from Malaysia. Asia Pacific Management Review, 22, 192-201.

Nonaka, I., & Takeuchi, H. (1996). The knowledge creating company : How Japanese companies create the dynamics of innovation. Personnel Psychology, 118-119.

Shokrpour, N. Keshavarz N., and Jafari S. M. (2013). The effect of peer review on writing skill of EFL students. Khazar Journal of Humanities and Social Sciences. 1 (2), 24-35.