การศึกษาอากาศยานไร้คนขับชนิดปีกตรึงแบบสองหางสำหรับภารกิจฝึกบิน
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ออกแบบ และสร้างอากาศยานไร้คนขับชนิดปีกตรึงแบบสองหางสำหรับภารกิจฝึกบิน พบว่าอากาศยานไร้คนขับเป็นชนิดปีกตรึงแบบสองหางขับเคลื่อนด้วยกำลังใบพัดมีค่า Aspect ratio (AR) เหมาะสมที่สุดปะมาณ 6.7 โดยมีปีกยาว 1 เมตร และปีกคอร์ดยาว 0.15 เมตร มีพื้นที่ 0.15 ตารางเมตร แพนอากาศแบบด้านล่างแบนราบและด้านบนโค้งเว้ามีจุดยอดของแพนอากาศเท่ากับ 0.021 เมตร ลำตัวมีลักษณะเป็นทรงกระสวยมีขนาดกว้าง 0.07 เมตร ยาว 0.35 เมตร และ สูง 0.13 เมตร ซึ่งเหมาะสมตามหลักอากาศพลศาสตร์โดยความแข็งแรงและน้ำหนักเบา การออกแบบพวงหางของอากาศยานโดยกระโดงหางหรือหางดิ่งมีพื้นที่ 0.0138 ตร.ม. คิดเป็นร้อยละ 9.20 ของพื้นที่ปีกทั้งหมด ในส่วนแพนหางระดับและแพนหางยกมีพื้นที่รวม 0.0480 ตร.ม. คิดเป็นร้อยละ 32 ของพื้นที่ปีกทั้งหมด และแพนหางยกมีพื้นที่ 0.0180 ตร.ม. คิดเป็นร้อยละ 37.50 ของพื้นที่แพนหาง เมื่อทำการทดสอบภารกิจการบินตามที่กำหนดของอากาศยานไร้คนขับชนิดปีกตรึงแบบสองหางที่ได้สร้างขึ้นพบว่า ระยะทางสำหรับการ Take off ประมาณ 5 เมตร อากาศยานมีความคล่องตัวดีการไต่ระดับ Ascent ได้ดีมาก บินเป็นแนวเส้นตรง บินเป็นวงกลมได้ง่าย เมื่อทดสอบเพิ่มความเร็วประมาณร้อยละ 50 ของอัตราความเร็วทั้งหมด อากาศยานสามารถทรงตัวได้ดี มีแรงยกสูง บินได้นิ่ง คล่องตัวดี ไม่มีการส่าย ส่วนการไต่ระดับลงมาอัตราการร่อนดีมาก ความคล่องตัวดี และระยะทางสำหรับการ Landing ประมาณ 10 เมตร ผลการศึกษาอากาศยานสามารถสร้างได้ง่าย ควบคุมการบินได้ง่าย มีเสถียรภาพในการบินสูง มีความคล่องตัว สามารถทำความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งแนวทางในการผลิตอากาศยานไร้คนขับในราคาประหยัดสำหรับภารกิจฝึกบิน สร้างสื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับอากาศให้กับนักเรียนและสำหรับบุคคลทั่วไปได้
Article Details
References
กิตติศักดิ์ ศรีกลาง. (2558). อากาศยานไร้คนขับกับงานโฟโตแกรมเมตรี. กรุงเทพมหานคร: โรงเรียนแผนที่ กรมแผนที่ทหาร.
ธราวุฒิ บุญเหลือ. (2557). การประยุกต์ใช้อากาศยานไร้คนขับ (UAV) เพื่อจัดทำรูปถ่ายทางอากาศ กรณีศึกษาพื้นที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วิทยาเขตขามเรียง. วารสารวิชาการคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 63, 55-68.
ธราวุฒิ บุญเหลือ. (2561). การประยุกต์ใช้เครื่องบินบังคับอัตโนมัติ เพื่อสร้างฐานข้อมูลแบบจำลองสารสนเทศ อาคารสำหรับงานสถาปัตยกรรมผังเมือง กรณีศึกษา อ.ธาตุพนม จ.นครพนม. วารสารวิชาการคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สจล. 28, 137-148.
ธีระพงษ์ นาชอน. (2551). รีโมทควบคุมมด้วยสัญญาณวิทยุ. โครงงานปริญญาตรีภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์: มหาวิทยาลัยนเรศวร.
ประสาทพร วงษ์คําช้าง และ ประยูร กันอยู่. (2561). การออกแบบและพัฒนาอากาศยานไร้คนขับแบบปีก ตรึงขึ้น-ลงทางดิ่งขนาดเล็ก. วิศวกรรมสารเกษมบัณฑิต. 8 (2), 194-205.
วสวัตติ์ เสาวดี, สมประสงค์ สาวจู และชวิน จันทรเสนาวงศ์. (2552). การคำนวณค่าสัมประสิทธิ์ของแพนอากาศสำหรับแบบจำลองไดนามิกสตอลโดยใช้ CFD. การประชมุวิชาการเครือข่ายวิศวกรรมเครื่องกลแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 23 (หน้า 68-74). เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
วรคง มีกล้า และสมชนก เทียมเทียบรัตน . (2558). มาตรฐานอากาศยานไร้นักบินกับการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ. วารสารสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ 6(3), 30-38.
วาสุกรี แซ่เตีย และคณะ (2557). การพัฒนาอากาศยานไร้นักบิน (UAV) เพื่อการสำรวจและจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศเพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์น้ำท่วมในภาคตะวันออกของประเทศไทย ปี 2556 . การประชุมวิชาการวิศวกรรมโยธาแห่งชาติ ครั้งที่ 19. 2974-2980.
ศิวา แก้วปลั่ง. (2561). การประเมินการใช้ภาพถ่ายทางอากาศจากอากาศยานไร้คนขับสำหรับการประมาณค่าชีวมวลเหนือพื้นดินของต้นหม่อน. วารสารแก่นเกษตร. 46 (1), 1-7.
สมควร รักดี. (2558). การพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลในระบบการป้องกันภัยทางอากาศของหน่วยต่อสู้อากาศยานกองทัพอากาศเพื่อความพร้อมสำหรับการเป็นกองทัพอากาศชั้นนำในภูมิภาค. เอกสารวิจัยส่วนบุคคล วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร.
อัศวโกวิท พึ่งสุข และคณะ. (2561). การประมาณค่าความสูงของไม้ยางนาด้วยข้อมูล DTM และ DSM จากอากาศยานไร้คนขับ. วารสารรสมาคมสำรวจข้อมูลระยะไกลและสารสนเทศภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย. 19 (1), 103-118.
David Lednicer. (2010). The Incompressible Guide to Airfoil Usage. Online. Available: http://m-selig.ae.illinois.edu/ads/aircraft.html.
Fahlstrom, P. and Gleason, T. (2012). Introduction to UAV System. West Sussex: John Wiley and Son.
Kaneko, R., et al. (2015). Application of unmanned aerial vehicle measurement to estimate quantity of forest biomass. Internet Journal for Society for Social Management Systems. 10 (1), 2-9.