การพัฒนาความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบบูรณการของเมอร์ด็อค (MIA) ร่วมกับเทคนิคการใช้ผังกราฟิก (Graphic Organizers)

Main Article Content

วัจนีย์ ดอกไม้ทอง
สิทธิพล อาจอินทร์

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบบูรณการของเมอร์ด็อค (MIA) ร่วมกับเทคนิคการใช้ผังกราฟิก ให้นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของนักเรียนทั้งหมด 2) พัฒนาความสามารถการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบบูรณการของเมอร์ด็อค (MIA) ร่วมกับเทคนิคการใช้ผังกราฟิก ให้นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของนักเรียนทั้งหมด กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกุดบงพิทยาคาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 21 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 37 คน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ประกอบด้วย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการปฏิบัติการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบบูรณการของเมอร์ด็อค (MIA) ร่วมกับเทคนิคการใช้ผังกราฟิก จำนวน 7 แผน เวลา 14 ชั่วโมง ซึ่งมีค่าความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณการของเมอร์ด็อค (MIA) ร่วมกับเทคนิคการใช้ผังกราฟิก เฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.52 อยู่ในระดับมากที่สุด 2) เครื่องมือที่ใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติการวิจัย ได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรมการสอนของครูผู้สอน แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน แบบบันทึกความคิดเห็นของนักเรียน แบบสัมภาษณ์นักเรียนเกี่ยวกับกิจกรรมการเรียนรู้ แบบบันทึกผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจท้ายวงจรในแต่ละวงจร ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 ค่าความยากง่าย (P) อยู่ระหว่าง 0.26-0.66 ค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.31-0.89 และค่าความเชื่อมั่น (KR-20) ของแบบทดสอบทั้งฉบับในแต่ละวงจร เท่ากับ 0.82, 0.75, และ 0.77 ตามลำดับ และแบบทดสอบความสามารถการคิดวิเคราะห์ท้ายวงจรในแต่ละวงจร ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 ค่าความยากง่าย (P) อยู่ระหว่าง 0.31-0.63 ค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.43-0.77 และค่าความเชื่อมั่น (KR-20) ของแบบทดสอบทั้งฉบับในแต่ละวงจร เท่ากับ 0.79, 0.81, และ0.85 ตามลำดับ และ 3) เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ แบบทดสอบความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 และมีค่าความยาก (P) ระหว่าง 0.37 - 0.66 และค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.37 – 0.65 และค่าความเชื่อมั่น (KR-20) ของแบบทดสอบทั้งฉบับ เท่ากับ 0.90 และแบบทดสอบความสามารถการคิดวิเคราะห์ แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 และมีค่าความยาก (P) ระหว่าง 0.37 – 0.60 และค่าอำนาจจำแนก (r) ระหว่าง 0.38 – 0.83 และค่าความเชื่อมั่น (KR-20) ของแบบทดสอบทั้งฉบับ เท่ากับ 0.93 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยการใช้ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)


ผลการวิจัย พบว่า


  1. นักเรียนมีคะแนนความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจเฉลี่ยเท่ากับ 22.57 คิดเป็นร้อยละ 75.23ของคะแนนเต็ม และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 33 คน คิดเป็นร้อยละ 89.19 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ยังพบว่า นักเรียนเกิดความสนใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีความกระตือรือร้นและมีความสุข มีการใช้ผังกราฟิกที่หลากหลายและถูกต้อง มีการใช้แผนที่ความคิดมาสรุปเนื้อเรื่อง กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดกับผู้อื่น

  2. นักเรียนมีคะแนนความสามารถการคิดวิเคราะห์เฉลี่ยเท่ากับ 22.65 คิดเป็นร้อยละ 75.50 ของคะแนนเต็ม และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 31 คน คิดเป็นร้อยละ 83.78 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ยังพบว่า นักเรียนรู้จักวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน มีความกล้าแสดงออก ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน มีความสุข สนุกสนานในการทำกิจกรรม ได้พัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
[1]
ดอกไม้ทอง ว. . . และ อาจอินทร์ ส. ., “การพัฒนาความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบบูรณการของเมอร์ด็อค (MIA) ร่วมกับเทคนิคการใช้ผังกราฟิก (Graphic Organizers)”, JILS, ปี 13, ฉบับที่ 3-4, น. 19–28, ธ.ค. 2019.
ประเภทบทความ
บทความวิจัย (Research article)

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว.
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักด์. (2549). การคิดเชิงวิเคราะห์. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: ซัคเซสมีเดีย.
เกรียงไกร วงศ์จันทร์เสือ. (2554). การพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยวิธีสอนแบบบูรณาการของเมอร์ดอค (MIA). การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการนิเทศ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร.
ฉวีลักษณ์ บุณยะกาญจน. (2557). จิตวิทยาการอ่าน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ให้ศตวรรษที่ 21. กรงเทพฯ: มูลนิธิสดศรี- สฤษดิ์วงษ์
วนิช สุธารัตน์. (2547). ความคิดและความคิดสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาสน์.
รจเรข เหลาลาภะ และ ศิริพงษ์ เพียศิริ . (2555). การพัฒนากิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แผนผังความคิด (Mind Mapping) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 35(4), 57-63.
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.). (2559). รายงานผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2559. กรุงเทพฯ: สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ.
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.). (2560). รายงานผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2560. กรุงเทพฯ: สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ.
สมุทร เซ็นเชาวนิช. (2540). เทคนิคการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สุดารัตน์ ศักดิ์คำดวง. (2552). ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคการเขียนแผนภูมิ Mind Mapping ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนจตุรมิตรวิทยาคาร. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์. (2550). ทักษะการอ่าน การคิดวิเคราะห์ และเขียน. นนทบุรี: ซี.ซี. นอลลิดจ์ลิงคส์.
สุวีณา ปุตะโคตร. (2556). การศึกษาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจและการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการของเมอร์ดอกช์ร่วมกับการใช้แผนผังความคิด. วิทยาพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
Bloom, B. S., Englehart, N. D., Furst E. J., Hill, W. H., & Krathwohl D. R. (1956). Taxonomy of Educational Objectives – The Classification of Educational Goals, Handbook I: Cognitive Domain. New York: David McKay Company.
Kemmis, S., & McTaggart, R. (1998). The Action Research Planner. 3 rd ed. Geelong: Deakin University.
Kay, K. (2007). Are they really ready to work? In Cavanagh, R. E. (Ed.). Proceeding of Employers'
Perspectives on the Basic Knowledge and Applied Skills of New Entrants to The 21st Century U.S. workforce. (pp. 7-8). New Yoke: The Conference Board.
Millet, C. P. (2001). The effects of graphic organizers on reading comprehension Achievement of second grade students. Thailand: [n.p.].
Morris, A., & Stewart, D. N. (1984). Learning to Learn from Text. Singapore: Anddison–Wesley Publishing.
Murdoch, G. S. (1986). A More Integrated Approach to the Teaching of Reading. English Teaching Forum, 34(1), 9-15.