รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบประสานสัมพันธ์ครอบครัวและโรงเรียน เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3
Keywords:
ความสามารถในการอ่าน, การประสานสัมพันธ์ครอบครัวและโรงเรียน, READING ABILITY, FAMILY AND SCHOOL INVOLVEMENTAbstract
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบประสานสัมพันธ์ครอบครัวและโรงเรียนสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 โดยใช้การวิจัยแบบผสมผสานวิธีการ (Mixed-Methods Research Design) แบ่งแป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาแนวทางการส่งเสริมความสามารถในการอ่านสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 จากข้อมูลทั้งบริบทภายในและภายนอกโรงเรียน โดยการวิเคราะห์และสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและการสัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการเรียนรู้ด้านการอ่าน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอนภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 ศึกษานิเทศก์ที่รับผิดชอบด้านภาษาไทย ผู้ปกครองนักเรียน และนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 3 ระยะที่ 2 สร้างและตรวจสอบความถูกต้อง ความเหมาะสม และความครอบคลุมในด้านการใช้ประโยชน์ (Utility) ความเป็นไปได้ (Feasibility) ความเหมาะสม (Propriety) และความถูกต้อง (Accuracy) ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบประสานสัมพันธ์ครอบครัวและโรงเรียน เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน ครูผู้สอนภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 จากโรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาที่มีผลการประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน (NT) ปีการศึกษา 2555 เกี่ยวกับความสามารถด้านภาษาอยู่ในระดับสูงและระดับต่ำ 3 อันดับแรกของแต่ละภูมิภาค จำนวน 213 คน และระยะที่ 3 ศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบประสานสัมพันธ์ครอบครัวและโรงเรียนเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 ในโรงเรียนที่มีขนาดและช่วงเวลาในการวัดแตกต่างกันโดยทดลองใช้ กับกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ปกครองนักเรียนและนักเรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) จากโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ขนาดละ 1 โรงเรียน รวมจำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมการวิจัยจนสิ้นสุดโครงการ จำนวน 152 คน สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 ของโรงเรียนแต่ละขนาดและแต่ช่วงเวลาในการวัด ใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนของตัวแปรพหุนามแบบวัดซ้ำ (Repeated Measures MANOVA) และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการส่งเสริมความสามารถในการอ่านสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 พบว่า มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความสามารถในการอ่าน 3 ประการ ได้แก่ ด้านนักเรียน ด้านโรงเรียน และด้านผู้ปกครองนักเรียน โดยแต่ละปัจจัยมีความสัมพันธ์กับแนวคิดการเรียนรู้แบบสรรค์สร้างความรู้ ด้วยตนเอง แนวคิดแรงจูงใจ และแนวคิดรูปแบบการเรียน และจากการสัมภาษณ์เชิงลึกแสดงให้เห็นชัดเจนว่าความร่วมมือระหว่างผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะทำให้การพัฒนาการอ่านของนักเรียนประสบผลสำเร็จได้ 2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบประสานสัมพันธ์ครอบครัวและโรงเรียนเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 ประกอบด้วย ขั้นตอนการวางแผน การนำไปใช้ และการวัด และประเมินผลการเรียนรู้ โดยเริ่มตั้งแต่ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความสามารถในการอ่าน ผู้บริหารโรงเรียนซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบายการศึกษาของโรงเรียนต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งครูผู้สอน นักเรียน และผู้ปกครองนักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา การอ่านของนักเรียนโดยการส่งเสริมและสนับสนุนสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรที่ส่งเสริมการอ่านของโรงเรียน บทบาทของครูผู้สอนที่สำคัญ คือนำนโยบายของผู้บริหารโรงเรียนมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน สร้างบรรยากาศส่งเสริมการอ่านในห้องเรียน ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผลที่เหมาะสมกับรูปแบบการเรียนรู้หรือพฤติกรรมในการอ่านของนักเรียน รวมทั้งผู้ปกครองนักเรียนซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติกิจกรรมการอ่านของนักเรียน คือ การสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาการอ่านทั้งแรงจูงใจภายนอกและแรงจูงใจภายใน และการส่งเสริมการอ่านของนักเรียนให้เหมาะสมกับรูปแบบการเรียนรู้ หรือพฤติกรรมในการอ่าน 3) ผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบประสานสัมพันธ์ครอบครัวและโรงเรียนเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 ในโรงเรียนที่มีขนาดและช่วงเวลาในการวัดแตกต่างกัน พบว่า นักเรียนที่เข้าร่วมการวิจัยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบประสานสัมพันธ์ครอบครัวและโรงเรียนเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 มีความสามารถในการอ่านสูงขึ้น เมื่อพิจารณาจากขนาดของโรงเรียน พบว่า นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 2 จากโรงเรียนที่มีขนาดแตกต่างกันมีความสามารถในการอ่านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนที่มีขนาดแตกต่างกันมีความสามารถในการอ่านแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเมื่อพิจารณาจากการวัดแต่ละช่วงเวลา พบว่า การวัดแต่ละช่วงเวลามีผลให้ความสามารถในการอ่านของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และพบว่าผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน นักเรียน และผู้ปกครองนักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบประสานสัมพันธ์ครอบครัวและโรงเรียน เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 เนื่องจากนักเรียน มีความสามารถในการอ่านสูงขึ้น ผู้ปกครองกับนักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมการอ่านร่วมกัน ทำให้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น และนักเรียนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ รวมทั้งนักเรียนมีความสนใจและกระตือรือร้นในการอ่านมากยิ่งขึ้น
The main objective of this research was to develop a learning module which integrated the involvement of family and school in order to improve the reading ability of Prathomsuksa students in grades 1-3. The first phase of this research was to identify the approaches to improve the reading ability of the students. Document analysis and in-depth interviews with key informants were used to collect data. The second phase was to develop and verify a learning module which integrated the involvement of family and school in order to improve their reading ability. Key informants and the sample for this phase consisted of five experts and 213 teachers. The third phase was to determine the results using the developed learning module according to the different size of schools and different times of testing. The target population for the third phase consisted of parents and students from schools under the jurisdiction of the Office of the Basic Education Commission. Three schools that were willing to participate were selected for the study by purposive sampling. The samples consisted of one small-sized school, one medium-sized school and one large-sized school. The remaining 152 students were engaged in the research from the beginning to the end which consisted of 12 weeks of reading. The statistics used for data analysis include frequency, mean, standard deviation, repeated measures MANOVA and content analysis.
The study found that, 1) The method to improve the reading ability of grade 1-3 students included three factors, i.e., student, school, and family, related to improving the reading ability of Grade 1-3 students. These factors included self-constructivism, motivation, students’ learning styles and the coordination of family and school. 2) The Learning Model with Family and School Involvement to Improve the Reading Ability of grade 1-3 students consisted of 3 stages: 1) Planning Stage, 2) Implementation Stage, and 3) Evaluation Stage. The process began with school administrators’ support leading to teachers and parents practice. Students were encouraged to read with motivation and learning styles under the coordination of family and schools. The model met the evaluation scales on utility, feasibility, propriety and accuracy. 3) The results of using the developed learning module found that students at all levels improved their reading ability. The reading ability of grade 1-2 students, according to the different size of schools, was found to be statistically and significantly different at a .05 level while grade 3 students’ reading ability was not different between the size of schools. When different time of testing was considered, it was found that the reading ability of grade 1-3 students was statistically and significantly different at a .05 level. It was also found that the principals, teachers, parents, and students were satisfied with the learning module. Not only did the students benefit from the improvement of their reading ability, but also a close relationship was developed between students and parents during the reading activity. Moreover, the students felt their free time was spent constructively and they became more interested and enthusiastic about reading.