การประยุกต์ใช้หลักการบัญชีบริหารที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของนักบัญชีในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดปทุมธานี

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับความสำคัญของการประยุกต์ใช้หลักการบัญชีบริหารในธุรกิจ SMEs จังหวัดปทุมธานี และ 2. เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลักการบัญชีบริหารมีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของนักบัญชีในธุรกิจ SMEs จังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ นักบัญชีและเจ้าหน้าที่บัญชีที่ปฏิบัติงานในธุรกิจ SMEs จังหวัดปทุมธานี จำนวน 363 คน ซึ่งได้จากการคำนวณโดยใช้สูตรของ Taro Yamane (1973) แล้วนำข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์ในสถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย, ค่าความถี่, ค่าร้อยละ, ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสมการถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Linear Regression) ผลการวิจัยพบว่า 1) การประยุกต์ใช้หลักการบัญชีบริหารทั้ง 4 ด้านอยู่ในระดับมาก ซึ่งเมื่อเรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ประกอบด้วย 1.1) ด้านการวางแผนงบประมาณเป็นด้านที่ได้รับความสำคัญสูงสุด อยู่ในระดับมาก(x̅= 4.10, S.D. = 0.59) 1.2) ด้านการควบคุมภายในอยู่ในระดับมาก (x̅= 4.05, S.D. = 0.57) 1.3) ด้านการวิเคราะห์ต้นทุน–ผลประโยชน์ได้รับ อยู่ในระดับมาก (x̅= 3.90, S.D. = 0.62) 1.4) ด้านการวิเคราะห์งบการเงินเชิงกลยุทธ์แม้จะเป็นด้านที่ได้รับคะแนนเฉลี่ยต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับด้านอื่นอยู่ในระดับมาก (x̅= 3.80, S.D. = 0.63) และ 2) การประยุกต์ใช้หลักการบัญชีบริหารมีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของนักบัญชีในธุรกิจ SMEs จังหวัดปทุมธานี ค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระทั้ง 4 กับประสิทธิภาพงานของนักบัญชี อยู่ในระดับค่อนข้างสูง (R = 0.752)โมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวนของประสิทธิภาพได้ ร้อยละ 56.6 (R² = 0.566) โมเดลมีความเหมาะสมทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (F = 33.52, p < 0.001) ตัวแปรทั้ง 4 ด้านมีอิทธิพลทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ต่อผลลัพธ์